
ทศชาติชาดก
เรื่อง มหาชนก ผู้ยิ่งด้วยวิริยบารมี ตอนที่ 5
จากตอนที่แล้ว พระอัครมเหสีของพระเจ้าอริฏฐชนก ทรงได้รับการอนุเคราะห์จากท้าวสักกเทวราช ให้เสด็จขึ้นประทับบนเกวียน แล้วนำเสด็จไปถึงนครกาลจัมปากะภายในเย็นวันนั้น
ส่วนพระเทวีก็เสด็จเข้าสู่ประตูพระนคร เนื่องจากไม่รู้ว่าจะเสด็จไปทางไหนดีเพราะไม่ทรงรู้จักใครเลย จึงประทับนั่งที่ศาลาพักร้อนแห่งหนึ่งตามลำพัง

พระเทวีได้ทอดพระเนตรพราหมณ์ และได้ทรงสนทนาด้วยก็รู้ว่า เป็นมหาพราหมณ์ ผู้เป็นอาจารย์สอนศิลปะศาสตร์ให้แก่ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังนั้น ดูลักษณะสง่าผ่าเผยพอที่จะวางพระทัยได้ จึงค่อยๆ เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของพระนาง ได้ตรัสเล่าเรื่องราวทั้งหมดไห้มหาพราหมณ์ทราบ
มหาพราหมณ์นึกสงสารพระเทวียิ่งนัก จึงทูลเชิญพระเทวีไปพักอาศัยอยู่กับตน โดยออกอุบายตั้งพระนางไว้ในตำแหน่งน้องสาว ซึ่งถูกพรากจากกันตั้งแต่ยังเล็กที่เพิ่งจะมาพบกัน เพื่อปกปิดไม่ให้ใครรู้จักฐานะที่แท้จริงของพระเทวี ซึ่งพระนางก็ทรงยินยอมทำตามคำแนะนำของมหาพราหมณ์ทุกอย่าง

ได้หาน้ำอุ่นมาให้พระนางสรงสนาน หาเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มผืนใหม่มาเตรียมไว้ให้ จัดแจงข้าวปลาอาหารที่ประณีตมาให้เสวย และปูลาดที่บรรทมอย่างดีสำหรับพระเทวี

จากนั้นไม่กี่เดือน พระเทวีก็ประสูติพระโอรสมีวรรณะดังทอง ได้ทรงขนานนามพระโอรสเหมือนพระเจ้าปู่ว่า มหาชนกกุมาร
เมื่อพระราชกุมารเจริญวัย ทรงเป็นผู้มีพละกำลังมาก ได้เล่นกับพวกเด็กๆ ในวัยเดียวกัน เด็กคนไหนรบกวนทำให้พระราชกุมารขัดเคือง พระองค์ก็จะทุบตีเด็กเหล่านั้น

เมื่อพวกเด็กเหล่านั้นร้องไห้กลับไปหาบิดามารดาของตัว ถูกถามว่า “ไปทะเลาะกับใครมา” ก็บอกว่า “ลูกแม่หม้ายมันตีเอา”
ส่วนพระราชกุมารเมื่อถูกกล่าวถากถาง ว่า เป็นลูกแม่หม้ายบ่อยๆ เข้า ก็ทรงแค้นพระทัย ดำริว่า “ก็พ่อของเราคือมหาพราหมณ์ เป็นอาจารย์ของคนทั้งหลาย แม่ของเราก็บอกอย่างนั้น แต่เด็กพวกนี้ทำไมมาพูดอย่างนี้”

เนื่องจากพระนางทรงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะบอก จึงปกปิดความจริงเอาไว้ ได้ตรัสลวงว่า “ก็มหาพราหมณ์นะซิจ้ะ เป็นพ่อของลูก”
วันรุ่งขึ้น พระกุมารเมื่อถูกกล่าวถากถางอีกว่า “ไอ้ลูกแม่หม้าย” จึงตรัสว่า “พ่อเราเป็นมหาพราหมณ์ ถ้าไม่อยากเจ็บตัว พวกเจ้าอย่ามาเรียกเราว่าเป็นลูกแม่หม้ายอีกเป็นอันขาด”

พระราชกุมารได้ทรงสดับดังนั้นก็รู้สึกสับสน ดำริว่า “ท่านพราหมณ์ไม่ใช่บิดาของเราหรือนี่ แล้วใครละเป็นบิดาของเรากันแน่ เราจะต้องถามมารดาให้รู้ความจริงให้ได้”
วันหนึ่ง ในขณะที่พระราชกุมารทรงดื่มน้ำนมจากพระถันของมารดาอยู่นั้น ได้กัดพระถันของพระนางเอาไว้ แล้วตรัสถามว่า “แม่จงบอกความจริงแก่ฉัน ใครเป็นพ่อของฉันกันแน่ ถ้าแม่ไม่บอก ฉันจะกัดถันของแม่ให้ขาดเดี๋ยวนี้”
พระนางรู้ว่าพระโอรสเป็นผู้ที่พูดจริงทำจริง และเห็นว่าคงไม่สามารถปกปิดความจริงได้ต่อไปอีกแล้ว จึงตรัสบอกว่า “ลูกรัก ลูกเป็นโอรสของพระเจ้าอริฎฐชนก เป็นพระราชาครองราชย์อยู่ในกรุงมิถิลา
พระบิดาของลูกถูกพระโปลชนก ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระเจ้าอาของลูก ยกทัพมาแย่งชิงเอาราชสมบัติไป ทั้งยังได้ปลงพระชนม์พระบิดาของลูกตั้งแต่ลูกยังอยู่ในครรภ์

แม่ตั้งใจรักษาตัวลูกเอาไว้ จึงหนีภัยมาอาศัยอยู่กับท่านพราหมณ์ที่พระนครนี้ โดยท่านรับแม่เอาไว้ในฐานะของน้องสาว เพื่อไม่ให้ใครรู้ฐานะที่แท้จริงของเราทั้งสอง”
จากนั้น พระเทวีก็ทรงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้พระราชกุมารทรงสดับ และสั่งสอนว่า “ลูกรัก ลูกจงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี จงฝึกฝนตนเองในทุกด้านต่อไปในภายหน้า ลูกจงหาทางกลับไปครองราชย์ในกรุงมิถิลา ยึดเอาราชสมบัติของพระบิดาของลูกกลับมาให้จงได้”

นอกจากนี้พระองค์ยังทรงมีน้ำพระทัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อทุกคน ทรงพยายามทำความดีตอบแต่เพียงอย่างเดียวต่อมาไม่นานก็ทรงเป็นที่ยอมรับของเด็กๆ ทั้งหลาย และเป็นที่รักของเพื่อนๆ ทุกคน
ครั้นทรงเจริญวัยขึ้น ก็ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอย่างเต็มที่ ทรงเรียนไตรเพทจนชำนาญ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ก็เป็นผู้ทรงพระรูปโฉมงดงาม และสำเร็จศิลปศาสตร์ ๑๘ สาขา จนเป็นที่ยอมรับของครูอาจารย์และเพื่อนๆ ร่วมสำนักทุกคน
ส่วนเหตุการณ์ข้างหน้า ที่พระราชกุมารทรงมีเป้าหมายว่า จะต้องไปยึดเอาราชสมบัติคืนให้ได้นั้น ซึ่งบัดนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงทำตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ แล้วพระองค์จะมีวิธีการอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)