
เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน นายดำรง พุฒตาล ประธานมูลนิธิเมาไม่ขับ แสดงความห่วงใยการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่ได้รับประโยชน์ทางด้านอัตราภาษี จากข้อตกลงทางการค้าเสรีอาเซียน หรือ อาฟต้า ที่จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในเดือนมกราคมปี 2553 ซึ่งจะทำให้ราคาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นำเข้ามีราคาถูกลง อาจส่งผลให้เกิดนักดื่มหน้าใหม่ โดยเฉพาะเยาวชนเพิ่มมากขึ้น ว่า เป็นเรื่องน่าหนักใจ เพราะเมื่อเวลามีการลงนามเซ็นสัญญา จุดมุ่งหมายเพื่อให้ประชาชนในอาเซียนบริโภคสินค้าที่ถูกลง ซึ่งพูดตามความเป็นธรรมสินค้าที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ไม่น่าจะรวมอยู่ในข้อตกลง แต่มันก็ยกเว้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสุราถูกลงก็จะทำให้เกิดการแข่งขันทางการค้า มีการลดราคาทำให้ผู้บริโภคได้ซื้อสุราในราคาถูกลง ก็จะกลายเป็นการเพิ่มนักดื่มหน้าใหม่ โดยเฉพาะบรรดาเยาวชนอย่างไม่ต้องสงสัย
นายดำรงกล่าวต่อว่า
แต่ก่อนประเทศไทยใช้มาตรการทางภาษีจำกัดการเข้าถึงสุราของบรรดานักดื่ม
อย่างไวน์ในประเทศไทย ภาษี 300-400 เปอร์เซ็นต์
ต่อไปนี้ไม่มีกำแพงภาษีกั้น ก็จะทำให้การเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ที่สำคัญบริษัทผลิตสุราระดับโลก
ก็จะย้ายฐานการผลิตเข้ามาตั้งโรงงานในกลุ่มอาเซียน
เพื่อจะได้ประโยชน์จากภาษีอาฟต้า อย่างในประเทศฟิลิปปินส์
เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้รู้ดีว่าไทยคือ
ฐานการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
"เราคงห้ามการไหลทะลักของเหล้านอกไม่ได้แน่ๆ ดังนั้น มาตรการที่รัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการคือ บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เอาจริงเอาจัง และจะต้องเป็นตัวหลักในการร่วมรณรงค์โทษของการดื่มเหล้า เพื่อให้เห็นอันตราย ร่วมกับภาคเอกชนและมูลนิธิที่ทำงานเพื่อสังคมต่างๆ นอกจากนั้นอาจจะออกกฏหมายสั่งห้ามโฆษณาเหล้า ผ่านสื่อทุกชนิด ผ่านกิจกรรมส่งเสริมการขายทุกรูปแบบ เหล่านี้คือสิ่งที่รัฐบาลจะต้องหันมาจริงจังกับเรื่องเหล่านี้อย่างเข้มข้น เพราะคงทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว" นายดำรง กล่าว
ขณะที่ น.พ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ
กล่าวว่า
เรื่องของธุรกิจคงเป็นเรื่องที่จะกล่าวโทษหรือห้ามปรามขอร้องลำบาก
เพราะผู้ประกอบการย่อมแสวงหากำไรทางธุรกิจ
แต่ปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า
โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอัตราภาษีในกรอบการค้าเสรีคงต้องมีการเตรียมการเพื่อรองรับ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาจากภายใน
ก็คือการเข้มข้นกับการบังคับใช้กฎหมาย
ที่จะต้องมีการกำหนดกรอบและสร้างกลไกในการบังคับใช้ให้มากยิ่งขึ้น
ด้านนายอิฐบูรณ์ อ้นวงศา ผู้ประสานงานฝ่ายเผยแพร่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า การค้าเสรีในข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการกำหนดให้เกิดการค้าเสรีไว้ลอยๆ แต่กำหนดเรื่องของความเป็นธรรมเอาไว้ด้วย ซึ่งหมายรวมไปถึงความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค และความเป็นธรรมในเชิงซีเอชอาร์ สุขภาพและสังคม เรื่องนี้รัฐบาลควรนำไปใช้เป็นข้อต่อรอง โดยเฉพาะที่กำลังจะมีกลยุทธ์ทางการค้าในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบรรจุในปริมาตรที่ล่อใจผู้ซื้อ การปรับเปลี่ยนสูตรผสมสุราในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการย้ายฐานการผลิตมาตั้งในประเทศกลุ่มอาเซียน เพื่อไม่ต้องเสียภาษี เป็นเรื่องที่น่าวิตกเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ยิ่งจะทำให้เสียหายอย่างร้ายแรง
อนึ่ง ข้อมูลศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) พบว่า
ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1
ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในภาคพื้นเอเชีย โดยที่ 2 คือเกาหลี
และที่ 3 คือญี่ปุ่น และไทยยังอยู่ในอันดับ 2 ของโลกจาก 137
ประเทศที่ประชากรดื่มสุราในอัตราขยายตัวมากที่สุด ในระหว่างปี 2513-2539
ถึง 133% และอยู่ในอันดับ 5
ของโลกที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทสุราวิสกี้มากที่สุด นอกจากนั้น
ยังพบว่า การดื่มสุราน้ำเมา เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุบนท้องถนนถึง 72.7%,
และ 59.1% ของผู้ก่อคดีทำลายทรัพย์สิน, 45.3%
ของคดีความผิดเกี่ยวกับเพศและข่มขืนกระทำชำเรา, 20.8%
ของผู้กระทำความผิดต่อร่างกาย, 16.1% ของคดีบุกรุก
ศวส. ยังมีข้อมูลด้วยว่า ต้นทุนจากการตายก่อนวัยอันสมควร
ต้นทุนจากประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง ต้นทุนจากการรักษาพยาบาล
ต้นทุนทรัพย์สินเสียหาย และต้นทุนการบังคับใช้กฎหมายและการฟ้องร้อง
รวมสูญเสียทั้งสิ้น 150,677.4 ล้านบาท
ทั้งประชาชนยังต้องจ่ายเงินซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกถึงปีละไม่ต่ำกว่า
200,000 ล้านบาท เทียบกับภาษีที่รัฐจัดเก็บได้แค่ 72,000
กว่าล้านบาทเท่านั้น
ด้านนพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท
ในฐานะผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน จ.น่าน กล่าวว่า
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาศูนย์ประสานงานประชาคม จ.น่าน ได้ประชุมหารือกัน
โดยพบว่าในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ทาง จ.น่าน จะมีการจัดงานครั้งยิ่งใหญ่ 2
งาน คือ งานแข่งขันฟุตบอลบริเวณสนามกีฬาจังหวัดน่าน และงานกาชาดจังหวัด
ที่บริเวณสวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษาสมเด็จพระราชินีนาถ โดยทั้ง 2
งานมีแนวโน้มว่าจะมีการจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ซึ่งหากมีการกระทำดังกล่าวจริงจะเข้าข่ายผิดพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551
"นพ.คณิต ตันติศิริวิทย์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่าน
เตรียมทำหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดน่านในอีก 2-3 สัปดาห์นี้
เพื่อยื่นข้อเสนอไม่เห็นด้วยกับการจัดงานที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อีกทั้งจะทำหนังสือชี้แจงข้อกฎหมายที่ห้ามจำหน่ายหรือดื่มสุราในสวนสาธารณะ
หากมีการละเมิด เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเข้าจับกุม" นพ.พงษ์เทพ กล่าว