
(31 ต.ค.) ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ณ ทำเนียบรัฐบาล ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ประชุม ครม.ได้ชูประเด็นน้ำเป็นประเด็นใหญ่ในการประชุม ครม. เนื่องจากที่ประชุมมีความเป็นห่วงต่อเหตุการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นมาก และพยายามติดตามการทำงานของกระทรวงต่างๆ ว่ามีข้อมูลน้ำอะไรใหม่ๆ ออกมาบ้าง ตลอดจนถึงอยากเห็นการจัดทำแหล่งข้อมูลเรื่องน้ำที่มีความชัดเจนมากขึ้น
ทั้งนี้ ทางกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จึงเสนอแก่ที่ประชุม ครม.ว่า สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (สสนก.) ก็เป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ที่มีความพร้อมด้านข้อมูลน้ำ และสามารถทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีภาคพื้นดินและข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศร่วมกับ
ข้อมูลจากกรมชลประทานและหน่วยงานด้านน้ำอื่นๆ
เพื่อใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการน้ำ รวมถึงได้เสนอแก่ที่ประชุมด้วยว่า
สสนก.เป็นสถาบันเกิดใหม่ ทว่า
มีความพร้อมและน่าจะมีส่วนร่วมในการทำงานอยู่ในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติด้วย
โดยที่ประชุมก็เห็นชอบ และตัว ศ.ดร.ยงยุทธ เองก็ได้เข้าไปพูดคุยกับ
นายเกษม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(ทส.) ซึ่งกำกับดูแลคณะกรรมการชุดนี้แล้ว
คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่ต้องกังวล
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับข้อมูลน้ำ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า สสนก.ได้ทำการบินสำรวจบริเวณที่ประสบภัยน้ำท่วมในเขต จ. สุพรรณบุรี แล้ว และได้จัดทำภาพถ่ายดาวเทียมไว้ด้วย พบว่า มีพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในหลายเขตด้วยกัน เช่น ในเขตอำเภอสรรคบุรี อำเภอบางปลาม้า และอำเภอเมือง หลายจุดมีถนนกั้นทางน้ำหลากอยู่จึงต้องมีการพิจารณาหาวิธีแก้ปัญหากันอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนายสามารถ โชคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน และนายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ อธิบดีกรมทางหลวง ว่าจะต้องมีการเจาะถนนเพื่อหลีกทางน้ำหลากอย่างไร เพื่อให้น้ำหลากไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้มากที่สุด
ส่วนพื้นที่ตอนบนของ จ.สุพรรณบุรี และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น ในพื้นที่ของ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี และ จ.นครสวรรค์ พบว่า ขณะนี้มีระดับน้ำลดลงแล้ว แต่น้ำกลับเริ่มเน่าเสีย ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดนี้ สสนก.จะนำไปใช้แก้ไขปัญหาได้ทันที เนื่องจากรัฐบาลเปิดกว้างให้ทุกหน่วยงานที่มีข้อมูลพร้อมสามารถลงมือแก้ปัญหาได้โดย
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับข้อมูลน้ำ รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า สสนก.ได้ทำการบินสำรวจบริเวณที่ประสบภัยน้ำท่วมในเขต จ. สุพรรณบุรี แล้ว และได้จัดทำภาพถ่ายดาวเทียมไว้ด้วย พบว่า มีพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในหลายเขตด้วยกัน เช่น ในเขตอำเภอสรรคบุรี อำเภอบางปลาม้า และอำเภอเมือง หลายจุดมีถนนกั้นทางน้ำหลากอยู่จึงต้องมีการพิจารณาหาวิธีแก้ปัญหากันอีกครั้งหนึ่ง ระหว่างนายสามารถ โชคณาพิทักษ์ อธิบดีกรมชลประทาน และนายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ อธิบดีกรมทางหลวง ว่าจะต้องมีการเจาะถนนเพื่อหลีกทางน้ำหลากอย่างไร เพื่อให้น้ำหลากไหลลงสู่แม่น้ำท่าจีนได้มากที่สุด
ส่วนพื้นที่ตอนบนของ จ.สุพรรณบุรี และพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบไปก่อนหน้านี้แล้ว เช่น ในพื้นที่ของ จ.ชัยนาท จ.อุทัยธานี และ จ.นครสวรรค์ พบว่า ขณะนี้มีระดับน้ำลดลงแล้ว แต่น้ำกลับเริ่มเน่าเสีย ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นทั้งหมดนี้ สสนก.จะนำไปใช้แก้ไขปัญหาได้ทันที เนื่องจากรัฐบาลเปิดกว้างให้ทุกหน่วยงานที่มีข้อมูลพร้อมสามารถลงมือแก้ปัญหาได้โดย
ไม่ต้องรอการอนุมัติ
จากนั้นเมื่อถามถึงการบริหารจัดการงบประมาณของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในปี 2549 นี้ที่ยังไม่ลงตัวนัก รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บางโครงการอาจจะไม่ได้รับงบประมาณอีก เนื่องจากปีนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ยื่นของบประมาณไปค่อนข้างมาก ราว 19,000 ล้านบาท และมีงบประมาณใหม่ๆ ที่น่าจะของบประมาณเพิ่มเข้าไปอีกบางโครงการ ทำให้ต้องยื่นของบประมาณเป็นจำนวนมากกว่า 19,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงฯ ก็จะพยายามพิจารณาความสำคัญให้กับโครงการใหม่ๆ ให้ได้รับงบประมาณก่อน และอาจจะมีการตัดงบประมาณในโครงการเก่าๆ ที่ไม่มีความจำเป็นลงไปบ้าง
ศ.ดร.ยงยุทธ เผยว่า การจัดสรรงบประมาณดังกล่าวมีเหตุผลเนื่องมาจากแนวทางการพัฒนาของกระทรวงฯ ที่เปลี่ยนแปลงไป จากในอดีตที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะเน้นการพัฒนาประเทศเพื่อการแข่งขันอย่างเต็มที่ แต่ประเทศไทยจะต้องเน้นความเป็นเศรษฐกิจพอเพียงให้มากขึ้น และแทนที่จะเน้นการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย ก็ควรจะต้องเป็นการพัฒนาแบบมีภูมิคุ้มกันตัวเอง และอาจเป็นพันธมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นคู่แข่งขันของเรามาก่อน เช่น เวียดนาม เพื่อให้สามารถร่วมกันพัฒนากันและกันได้ จึงไม่เน้นไปที่การแข่งขันกับใคร แต่ถือเป็นแนวทางใหม่ที่มองว่ามีความยั่งยืนมากกว่า
จากนั้นเมื่อถามถึงการบริหารจัดการงบประมาณของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในปี 2549 นี้ที่ยังไม่ลงตัวนัก รมว.วิทยาศาสตร์ฯ เผยว่า มีความเป็นไปได้สูงที่บางโครงการอาจจะไม่ได้รับงบประมาณอีก เนื่องจากปีนี้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ได้ยื่นของบประมาณไปค่อนข้างมาก ราว 19,000 ล้านบาท และมีงบประมาณใหม่ๆ ที่น่าจะของบประมาณเพิ่มเข้าไปอีกบางโครงการ ทำให้ต้องยื่นของบประมาณเป็นจำนวนมากกว่า 19,000 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงฯ ก็จะพยายามพิจารณาความสำคัญให้กับโครงการใหม่ๆ ให้ได้รับงบประมาณก่อน และอาจจะมีการตัดงบประมาณในโครงการเก่าๆ ที่ไม่มีความจำเป็นลงไปบ้าง
ศ.ดร.ยงยุทธ เผยว่า การจัดสรรงบประมาณดังกล่าวมีเหตุผลเนื่องมาจากแนวทางการพัฒนาของกระทรวงฯ ที่เปลี่ยนแปลงไป จากในอดีตที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ จะเน้นการพัฒนาประเทศเพื่อการแข่งขันอย่างเต็มที่ แต่ประเทศไทยจะต้องเน้นความเป็นเศรษฐกิจพอเพียงให้มากขึ้น และแทนที่จะเน้นการแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย ก็ควรจะต้องเป็นการพัฒนาแบบมีภูมิคุ้มกันตัวเอง และอาจเป็นพันธมิตรกับประเทศเพื่อนบ้านที่เคยเป็นคู่แข่งขันของเรามาก่อน เช่น เวียดนาม เพื่อให้สามารถร่วมกันพัฒนากันและกันได้ จึงไม่เน้นไปที่การแข่งขันกับใคร แต่ถือเป็นแนวทางใหม่ที่มองว่ามีความยั่งยืนมากกว่า
ที่มา-
