ชาดก 500 ชาติ

อาวาริยชาดก-ชาดกว่าด้วยไม่ควรเปล่งวาจาที่ดีให้เกินแก่ควรกาล

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในนครสาวัตถี

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารในนครสาวัตถี
  
       ครั้งหนึ่งในพุทธกาลสมัย สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระบรมศาสดาแห่งศาสนาพุทธ พระองค์ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ในนครสาวัตถี สมัยนั้นพระพุทธศาสนาได้แผ่ขจรขจายเป็นที่เลื่อมใสศรัทธา จึงมีชาวบ้านถวายตัวเป็นสาวก บวชเป็นพระภิกษุเป็นจำนวนมาก
 
ชาวบ้านต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนากันเป็นจำนวนมาก
 
ชาวบ้านต่างมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนากันเป็นจำนวนมาก
 
       “ เราไปถวายตัวเป็นศิษย์พระบรมศาสดากันดีกว่า ค้นหาความสุขมานานแล้ว แต่ไม่เจอสักที ” “ ข้าก็เห็นเอาแต่กินกับนอน ยังสุขไม่พออีกเหรอ ”
“ ข้าหมายถึงความสุขทางใจต่างหาก ข้าว่าเจ้าอย่ามัวแต่พูดอยู่เลย รีบออกเดินทางไปพระเชตะวันกันดีกว่า เดี๋ยวจะสายเอา ”

ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ว่าจ้างให้นายติตถวานิกช่วยพายเรือไปส่งตนอีกฟากของแม่น้ำ
 
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ว่าจ้างให้นายติตถวานิกช่วยพายเรือไปส่งตนอีกฟากของแม่น้ำ
 
        ในกาลนั้นยังมีพระภิกษุชาวชนบทรูปหนึ่ง เดินทางด้วยความตั้งใจว่าจะทำการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เมื่อมาถึงท่าน้ำ ชายฝั่งแม่น้ำ
อัจจิรวดีก็ได้พบกับนายติตถวานิก ซึ่งเป็นคนแจวเรือข้ามฟาก นายติตถวานิกผู้นี้ เขาเป็นคนโง่ไม่รู้อะไร ไม่รู้แม้แต่คุณของพระรัตนตรัย
แห่งองค์พระศาสดาเป็นต้น ไม่รู้คุณของบุคคลอื่น ๆ ด้วยเป็นคนดุร้ายหยาบคาย หุนหันพลันแล่น

นายติตถวานิกทำเรือโครงเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งภิกษุหนุ่ม
 
นายติตถวานิกทำเรือโครงเพื่อเป็นการกลั่นแกล้งภิกษุหนุ่ม
 
       “ อุบาสก อาตมาประสงค์จักข้ามไปฟากโน้น ขอโยมช่วยพายเรือพาอาตมาไปเถิด ” “ โอ้ย ตอนนี้เป็นเวลาพักผ่อนของข้าแล้ว ข้าคงพาท่าน
ไปไม่ได้หรอก ขอให้ท่านรออยู่บนฝั่งก่อนก็แล้วกัน ” “ ดูก่อนอุบาสก ท่านจะให้อาตมาอยู่ ณ ที่แห่งใดเล่า ขอจงรับอาตมาไปส่งด้วยเถิดนะ ”

ภิกษุหนุ่มถึงฝั่งแต่บาตรและจีวรเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
 
ภิกษุหนุ่มถึงฝั่งแต่บาตรและจีวรเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ
 
        “ เอ๊ะ ท่านนี่พูดไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ก็มันเป็นเวลาพักผ่อนของข้า เหนื่อยมาทั้งวันแล้วนะเนี่ย อยากไปก็รอก่อนสิ ” “ ดูก่อนเถิดอุบาสก
ผู้เจริญ อาตมานี้มีความประสงค์จะอุปัฏฐากพระบรมศาสดาในวันนี้ ช่วยไปส่งอาตมาด้วยเถอะนะ ” “ นั้นมันก็เรื่องของท่าน ข้าไม่สนหรอก ”
“ ท่านอุบาสกผู้เจริญ หากท่านไม่ส่งอาตมาข้ามฝากไป ไม่เช่นนั้นอาตมาคงไปรับการอุปัฏฐากพระบรมศาสดาไม่ทันแน่ ๆ ได้โปรดเถิดนะท่าน ”
 
ภิกษุหนุ่มมาถึงพระเชตวันแต่ก็ไม่ทันเวลาที่จะเข้าไปรับการอุปัฏฐากพระบรมศาสดา
 
ภิกษุหนุ่มมาถึงพระเชตวันแต่ก็ไม่ทันเวลาที่จะเข้าไปรับการอุปัฏฐากพระบรมศาสดา
 
      นายติตถวานิกเมื่อได้ยินคำของภิกษุร้องขอ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นในใจบันดาลความโกรธเข้า จึงคิดแกล้งหลอกภิกษุให้เสียเวลา โดยไม่เคารพยำเกรง
ต่อเพศสมณะของภิกษุเลยแม้แต่น้อย “ อ่ะ อ่ะ ก็ได้ๆ ในเมื่อท่านขอร้องข้าถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะจัดให้ เดี๋ยวจะหาว่าข้าแล้งน้ำใจ มา ๆ มา ตามข้ามา
เดี๋ยวข้าจะพาไปส่ง ” “ อาตมาต้องขอขอบใจอุบาสกมากนะ ” (...อยากข้ามนักใช่ไหม เดี๋ยวก็ได้รู้)
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุหนุ่มถึงสาเหตุที่มาถึงล่าช้า
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุหนุ่มถึงสาเหตุที่มาถึงล่าช้า
 
       “ นั่งดี ๆ ละท่าน เดี๋ยวตกน้ำตกท่าไปจะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ ”  เมื่อภิกษุผู้นั้นลงเรือ แทนที่นายนายติตถวานิกจะพายเรือข้ามไปส่ง
แต่กลับพายเรือไปข้างล่าง ทันใดนั้นเองเขาก็แกล้งทำให้เรือส่าย ทำเรือโคลงไปเครงมา ทำให้บาตรและจีวรของภิกษุท่านนั้นเปียกน้ำ
ไปถึงฝั่งโดยลำบาก “ อุบาสก บาตรและจีวรของอาตมาชุ่มไปด้วยน้ำหมดเลย "
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์อยู่ ณ เมืองพาราณสี
 
พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์อยู่ ณ เมืองพาราณสี
     
        “ ก็เตือนแล้วว่านั่งให้ดี ๆ เป็นไงละท่าน ฮะ ฮะ ฮ่า อยากให้เรามาส่งดีนัก ดี สมน้ำหน้า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” “ แต่ถึงอย่างไรก็ขอบใจที่ส่งเราจนถึงฝั่ง
นะท่าน อาตมาจะรีบไปละนะ ” “ ไม่เป็นไรหรอกท่าน ยังไงก็ไปไม่ทันหรอก ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” 
ต่อมา เมื่อภิกษุมาถึงยังพระเชตะวันมหาวิหาร ก็ไม่ทัน
ได้โอกาสอุปัฏฐากจากองค์ศาสดาดังที่ตั้งใจไว้ “ เฮ้อ มาไม่ทันอุปัฏฐากเสียแล้วหรือเรา ”
 
ฤาษีพระโพธิสัตว์ออกจากป่าหิมพานต์มาโปรดชาวบ้านในเมืองพาราณสี
 
ฤาษีพระโพธิสัตว์ออกจากป่าหิมพานต์มาโปรดชาวบ้านในเมืองพาราณสี
 
        เช้าวันรุ่งขึ้นภิกษุจึงไปเฝ้าพระบรมศาสดาเพื่อขออุปัฏฐาก พระองค์ตรัสถามว่า “ เธอมาถึงเมื่อไหร่หรือ ” “ เมื่อวานนี้พระเจ้าข้า ” “ แล้วเหตุไฉนเล่า
จึงมาที่อุปัฏฐากในวันนี้ ” “ ข้าแต่องค์พระศาสดา เดิมทีก็ตั้งใจที่จะอุปัฏฐากตั้งแต่เมื่อวานพระเจ้าค่ะ แต่ว่า อืม ” เมื่อภิกษุกราบทูลเล่าเหตุการณ์
แด่องค์พระศาสดาทรงทราบ เมื่อทรงสดับเรื่องราวทั้งหมดแล้ว พระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุผู้นั้นว่า
 
ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาในตัวของพระฤาษี
 
ชาวบ้านทั้งหลายต่างพากันเลื่อมใสศรัทธาในตัวของพระฤาษี
 
       “ ดูก่อนภิกษุ มิใช่เพียงแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน นายนายติตถวานิกผู้นี้ ก็ดุร้าย หยาบคายเหมือนกัน อนึ่งเขาไม่ได้ทำให้เธอลำบาก
แต่ในชาติปัจจุบันนี้ แม้ในชาติก่อนก็ได้ทำให้บัณฑิตลำบากมาแล้วเหมือนกัน ” พระพุทธองค์จึงทรงนำเอาเรื่องอาวาริยชาดกมาสาทกให้ฟัง ดังนี้
ในอดีตกาล ณ นครพาราณสี ครั้งที่พระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่นั้น

พระเจ้าพรหมทัตเสด็จผ่านมาเห็นพระฤาษีกำลังสอนธรรมะให้กับบรรดาชาวบ้าน
 
พระเจ้าพรหมทัตเสด็จผ่านมาเห็นพระฤาษีกำลังสอนธรรมะให้กับบรรดาชาวบ้าน
  
        มีพระโพธิสัตว์ซึ่งกำเนิดในสกุลพราหมณ์ บวชเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าหิมพานต์เป็นเวลาช้านาน จึงคิดอยากจะเดินทางออกไปจาริก
โปรดญาติโยม จึงเข้าไปภิกขาจารในเมืองพาราณสี “ เดินทางมาตั้งไกล ช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เอ้ ที่นี่สงสัยจะเป็นเมืองพาราณสีแน่ ๆ เลย ”
พระฤาษีได้พร่ำสอนชาวเมืองจนเป็นที่เคารพอย่างยิ่ง “ พระฤาษีผู้นี้นั่งบำเพ็ญอย่างสงบช่างน่าเลื่อมใสยิ่งนัก ”
 
พระเจ้าพรหมทัตได้นิมนต์พระฤาษีเข้าไปพักในพระราชอุทยาน    

พระเจ้าพรหมทัตได้นิมนต์พระฤาษีเข้าไปพักในพระราชอุทยาน
 
        “ ใช่ พวกเราเข้าไปกราบนมัสการท่านกันเถิด ” รุ่งขึ้นพระฤาษีจึงเข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกษา พระเจ้าพรหมทัตเห็นท่านมีกิริยาสำรวมก็บังเกิด
จิตศรัทธาเลื่อมใสในทันที จึงทรงนิมนต์พระฤาษีให้จำพรรษาในสวนหลวงเพื่อถวายทาน “ ข้าแต่พระคุณเจ้า ข้าพเจ้าขอนิมนต์ท่านไปจำพรรษา
ในอุทยานของเราเถิด ” “ ขอให้จำเริญเถิดมหาบพิตร ”
 
พระฤาษีได้ให้โอวาทแก่พระเจ้าพรหมทัต
 
พระฤาษีได้ให้โอวาทแก่พระเจ้าพรหมทัต

       พระราชาแห่งพาราณสีเสด็จไปฟังธรรมวันละครั้ง พระฤาษีมักจะให้โอวาทแด่พระองค์เป็นประจำว่า “ มหาบพิตรผู้เจริญ พระองค์ทรงเป็น
พระราชาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน พระราชานั้น มิควรมีอคติ ๔ อย่างด้วยกัน พระองค์ควรเป็นผู้ไม่ประมาท สมบูรณ์ด้วยขันติ มีเมตตากรุณา
ครองราชย์โดยธรรม ที่สำคัญพระองค์อย่าทรงโกรธเป็นอันขาด ไม่ว่าจะในที่ใด ๆ จะเป็นในบ้าน ในป่า หรือที่ลุ่มที่ดอนก็ตาม

พระฤาษีได้จำพรรษาอยู่ในเมืองพาราณสี
 
พระฤาษีได้จำพรรษาอยู่ในเมืองพาราณสี
 
       หากทำได้พระองค์ก็จะทรงเป็นพระราชาอันเป็นที่รักของเหล่าทวยราชตลอดไป ” “ สาธุ ” พระราชาทรงเลื่อมใสยิ่ง พระองค์จึงถวายหมู่บ้านชั้นดี
ที่เก็บเงินส่วยภาษีได้ปีละ ๑ แสนกหาปนะให้แด่พระฤาษี ๑ ตำบล แต่ฤาษีก็หาได้รับไม่เพราะถือเป็นกิเลส เวลาผ่านไปพระฤาษีออกภิกขาจาร
อยู่ในเมืองพาราณสีและจำพรรษาอยู่ในอุทยานนาน ๑๒ ปี


พระฤาษีได้ฝากคนสวนไปกราบทูลลาพระเจ้าพรหมทัต
 
พระฤาษีได้ฝากคนสวนไปกราบทูลลาพระเจ้าพรหมทัต
       
       ต่อมาวันหนึ่งพระฤาษีจึงคิดจะภิกขาจารออกเดินทางไปโปรดญาติโยมยังสถานที่อื่นบ้าง “ นี่เราออกมาโปรดญาติโยมในเมืองพาราณสีนานถึง ๑๒ ปี
แล้วหรือนี่ เห็นทีต้องเดินทางออกไปโปรดญาติโยมที่อื่นบ้างแล้วหล่ะ ” เมื่อคิดได้ดังนั้น พระฤาษีออกเดินทางโดยไม่ได้เข้าเฝ้าทูลลาพระเจ้าพรหมทัต
ด้วยตนเอง เพียงฝากกับคนเฝ้าสวนหลวงไปกราบทูลให้ทรงทราบ
 
นายอาวาริปิตาได้แจวเรือมาส่งลูกค้ายังท่าน้ำ
 
นายอาวาริปิตาได้แจวเรือมาส่งลูกค้ายังท่าน้ำ
 
        “ บัดนี้ อาตมาจะออกเดินทางไปโปรดญาติโยมที่อื่น อาตมาขอฝากโยมกราบทูลลาพระราชา และฝากกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษ
ที่มิได้กราบทูลด้วยตนเองนะโยมนะ ” “ ได้ขอรับ มิต้องเป็นห่วง ผมจะกราบทูลให้พระคุณเจ้าเอง ขอให้พระคุณเจ้าเดินทางโดยสวัสดิภาพเถิด
ขอรับ ” “ ขอบใจท่านมาก อาตมาไปละนะ 
 
นายอาวาริปิตาชอบทุบตีทำร้ายผู้คนที่ไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากตามที่ตนเรียกร้อง
 
นายอาวาริปิตาชอบทุบตีทำร้ายผู้คนที่ไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนมากตามที่ตนเรียกร้อง
 
       ขณะเดียวกัน ณ ท่าเรือข้ามฝากริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีนายแจวเรือนายหนึ่งนามว่า อาวาริปิตา นายแจวเรืออาวาริผู้นี้ เป็นคนโง่เขลา มีนิสัยดุร้าย
ชอบใช้กำลัง นิสัยไม่ดีอีกอย่างหนึ่งของนายอาวาริปิตาก็คือ มักไปส่งคนข้ามฝาก แล้วค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาเงินตามใจชอบแต่ภายหลัง
 
พระฤาษีได้ว่าจ้างนายอาวาริปิตาให้แจวเรือไปส่งตนยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
 
พระฤาษีได้ว่าจ้างนายอาวาริปิตาให้แจวเรือไปส่งตนยังอีกฝั่งของแม่น้ำ
 
       เมื่อลูกค้าไม่ให้ก็มักจะมีเรื่องทะเลาะชกต่อย และขู่เอาเงินค่าจ้างจากผู้โดยสารอยู่เป็นประจำ “ เอาเจ้านะ ถึงฝั่งแล้ว เอาเงินมาเลย ๒๐๐
จ่ายมาซะดี ๆ ” “ เฮ้ย พายเรือมาส่งแค่นี้ คิดตั้ง ๒๐๐ เลยหรือท่าน อย่างนี้มันโกงกันนี่น่า ” “ เอ้อ มากง มาโกงอะไรกันนี่ ก็ก่อนขึ้นเรือ
เจ้าไม่ได้ถามข้านี่นา ว่าค่าจ้างเท่าไหร่ ช่วยไม่ได้ ไม่อยากมีเรื่องก็จ่ายข้ามาสะดี ๆ ”
 
นายอาวาริปิตาแจวเรือไปส่งพระฤาษีอีกฝั่งของแม่น้ำ
 
นายอาวาริปิตาแจวเรือไปส่งพระฤาษีอีกฝั่งของแม่น้ำ

        “ ไม่ ไม่ ไม่ ข้าไม่จ่าย เจ้ามันขี้โกง โก่งราคานี่นา ” “ ก็ได้ ไม่จ่ายใช่ไหม เดี๋ยวเจอไม้พายเข้าไป รับรองต้องจ่ายแน่ ๆ ฮะ ฮ่า ไม่ให้ใช่ไหม
นี่แน่ะ ๆ ” “ โอ้ย ๆ พอแล้ว อย่าทำอะไรข้าเลย เจ้าอยากได้เงินก็เอาไปเถิด โอ้ย ข้ากลัวแล้ว ” “ ให้ดี ๆ ตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้
สมน้ำหน้า ” เมื่อพระฤาษีเดินทางมาถึงท่าน้ำเรือข้ามฟาก ก็ได้พบกับนายอาวาริปิตา จึงขอใช้บริการเรือจ้างของเขา

นายอาวาริปิตาได้ตบตีพระฤาษีด้วยเหตุที่ตนไม่ได้รับเงินค่าจ้าง
 
นายอาวาริปิตาได้ตบตีพระฤาษีด้วยเหตุที่ตนไม่ได้รับเงินค่าจ้าง

       “ โยม อาตมาขอข้ามไปฟากโน้นหน่อยจะได้หรือไม่ ” “ ได้น่า ได้อยู่ท่านฤาษี ว่าแต่ท่านจะให้ค่าจ้างเรือข้าเท่าไหร่ละ ” “ โยม อาตมา
จะให้ของดีที่ทำให้ร่ำรวยทรัพย์แก่ท่าน ” (เฮ้ย ของดีที่จะทำให้ร่ำรวยทรัพย์ นี่มันอะไรกันว่ะ สงสัยจะเป็นของวิเศษแน่ ๆ เลย รวยแล้วเรา)

ภรรยานายอาวาริปิตาได้มาเห็นสามีของตนกำลังตบตีพระฤาษี

ภรรยานายอาวาริปิตาได้มาเห็นสามีของตนกำลังตบตีพระฤาษี
 
       “ ก็ได้ท่าน ก็ได้ท่าน เดี๋ยวข้าจะไปส่ง นี่เห็นว่าท่านเป็นผู้ทรงศีลหรอกนะ ไม่ได้เห็นแก่ของดงของดีอะไรเลยจริง ๆ ไม่ได้โกหกเลยนะเนี่ย ”
นายแจวเรืออาวาริปิตา พาพระฤาษีข้ามฟากไป พอถึงฝั่งที่หมายแล้ว จึงเอ่ยทวงถามของดีที่จะทำให้รวยทรัพย์ที่พระฤาษีใช้เป็นค่าจ้าง
ซึ่งแท้ที่จริงของดีที่ว่าก็คือ ธรรมโอวาทนั่นเอง
 
นายอาวาริปิตาตบตีภรรยาของตนเหตุที่เข้ามาห้ามไม่ให้ทำร้ายพระฤาษี
 
นายอาวาริปิตาตบตีภรรยาของตนเหตุที่เข้ามาห้ามไม่ให้ทำร้ายพระฤาษี
 
       “ ท่านฤาษี ข้าพาท่านมาถึงฝั่งแล้ว ไหนล่ะของดีที่ท่านจะให้ข้า ” “ โยมมักไปส่งคนข้ามฝาก แล้วค่อยคิดเงินค่าจ้างเอาตามใจชอบแต่ภายหลัง
หากแต่โยมลองขอค่าจ้างกับคนที่ยังไม่ข้ามฟากไปฝั่งโน้นก่อน เพราะจิตใจของคนที่ข้ามฟากแล้วกับคนที่ยังไม่ได้ข้ามฟากต่างกัน และอีกประการ
หนึ่งนะโยม ขอให้ท่านจงอย่าคิดเคืองโกรธไม่ว่าจะในที่ใด ๆ
 
ภรรยานายอาวาริปิตาถูกตบตีจนแท้งลูก
 
ภรรยานายอาวาริปิตาถูกตบตีจนแท้งลูก
 
       ทั้งในบ้าน ในป่า ความร่ำรวยในทรัพย์ก็จะมีแก่โยม นี่แหละของดีที่อาตมาจะให้ ” “ อะไรกันท่านฤาษี นี่หรือคือค่าจ้างเรือที่ท่านจะให้ผมหน่ะ ”
“ ใช่แล้วล่ะโยม ” “ ไม่ได้ ข้าไม่ยอม เอาของดีของท่านเก็บไว้ใช้กับตัวเถิด ค่าจ้างของข้า ต้องเป็นเงินเพียงอย่างเดียว เอาเงินมาให้ข้า ข้าต้องการ
เงินเท่านั้น ” “ โยม นอกจากธรรมโอวาทนี้แล้ว อาตมาไม่มีอย่างอื่นจะให้หรอกนะ ”
 
นายอาวาริปิตาถูกชาวบ้านจับตัวหลังจากที่ได้ทำร้ายฤาษีและภรรยาของตน
 
นายอาวาริปิตาถูกชาวบ้านจับตัวหลังจากที่ได้ทำร้ายฤาษีและภรรยาของตน
 
      “ เมื่อท่านไม่มีเงินแล้ว มาลงเรือข้าทำไม หะ ถ้าไม่มีเงินละก็ท่านเจ็บตัวแน่ ” ด้วยความโกรธ นายอาวาริปิตาผลักพระฤาษีล้มลง แล้วลงไปนั่งทับอก
พร้อมทั้งตบปากพระฤาษีอย่างดุร้าย ไม่มีความยำเกรงต่อเพศสมณะแต่อย่างใด “ ไม่จ่ายใช่ไหม นี่แน่ะ ๆ ตบฤาษีโว้ย ” “ อย่าทำอาตมาเลย โยม อย่า ”
ในขณะนั้นเองภรรยาของเขาซึ่งกำลังท้องแก่ได้ถืออาหารมาส่งให้นายอาวาริปิตา
 
นายอาวาริปิตาถูกไต่สวนความผิดโดยพระเจ้าพรหมทัต
 
นายอาวาริปิตาถูกไต่สวนความผิดโดยพระเจ้าพรหมทัต
 
       พลันเมื่อเห็นพระฤาษีนางก็จำได้จึงร้องห้ามบอกสามีของตน (เอ๊ะ นั่นท่านฤาษีที่ประจำอยู่ที่ราชสำนักนี่) “ หยุดนะพี่ อย่าตีท่านฤาษีนะ ” ไม่มีอะไร
มาหยุดยั้งความโกรธของเขาได้ ด้วยแรงโทสะ นายอาวาริปิตาจึงลุกขึ้นตบภรรยาอย่างแรง ถาดข้าวแตกกระจาย พร้อมกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของ
ภรรยา ที่ร่างเซถลาล้มลงกระแทกพื้นดินจนลูกน้อยในท้องทะลักออกมาทันที “ โอ้ย โอ้ย ลูกแม่ โอ้ย โอ้ย ”
 
 
นายอาวาริปิตาถูกลงโทษด้วยการขังคุกตลอดชีวิต
 
นายอาวาริปิตาถูกลงโทษด้วยการขังคุกตลอดชีวิต
 
       ขณะเดียวกันชาวบ้านที่อยู่ละแวกนั้น ผ่านทางมาเห็น จึงช่วยกันจับตัวนายอาวาริปิตามัดเขาไว้ เพราะนึกว่าเขาเป็นโจรฆ่าคนตาย “ เฮ้ย ๆ พวกเรา
ช่วยกันจับไอ้ตัวโจร ๕๐๐ เร็ว ” “ คนอะไรใจดำอำมหิต ฆ่าได้แม้กระทั่งหญิงท้องแก่ ช่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์มนาจริงๆ ช่วยกันจับไปส่งพระเจ้าพรหมทัต
ให้ลงโทษกันเร็ว ๆ ” “ เสร็จข้าล่ะ เจ้าฆาตกรเอ๋ย คราวนี้ล่ะแก ติดคุกหัวโตแน่แก ” “ เฮ้ย ปล่อยข้านะ เฮ้ย บอกให้ปล่อย ”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย
 
       “ ข้าแต่พระราชา ข้าพเจ้าคุมตัวฆาตกรใจโฉด มาให้พระองค์ทรงวินิจฉัยโทษ มันผู้นี้ต้องคดีฆ่าหญิงท้องแกตายพระเจ้าค่ะ ” “ หา เจ้าช่างใจโฉด
โหดเหี้ยมจริง ทหารเอาตัวมันไปคุมขังตลอดชีวิต ” “ พะยะค่ะ ” “ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ประฝ  ทานอภัยโทษให้หม่อมฉันเถิด ” “ มานี่ไปกับข้า จะดิ้น
ไปทำไม ขังลืมสะเลย ไม่ต้องให้เห็นเดือนเห็นตะวันสะเลยนี่ ” “ ปล่อยข้า ปล่อยข้า ข้าไม่ผิดนะโว้ย ข้าไม่ผิด ปล่อย ”
       
       พระพุทธองค์เมื่อตรัส
อดีตนิทานอาวาริยชาดกจบแล้ว ได้ตรัสให้โอวาทภิกษุว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ผู้จะให้โอวาท ควรให้แก่คนที่เหมาะสม ไม่ควร
ให้แก่คนที่ไม่เหมาะสม ดังฤาษีให้โอวาทแก่พระราชาได้อยู่บ้านชั้นดี แต่ให้โอวาทแก่คนแจวเรือจ้าง กลับถูกตบปากฉันนั้น ”
 
 
ในพุทธกาลต่อมา
นายแจวเรืออาวาริยปิตา กำเนิดเป็น คนแจวเรือติตถวานิก
พระเจ้าพรหมทัต กำเนิดเป็น พระอานนท์
พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

[[videodmc==00000]]
 
นิทานชาดก 500 ชาติ
 
บทความนี้พิมพ์จาก http://www.dmc.tv/pages/นิทานชาดก/นิทานชาดก-อาวาริยชาดก.html
เมื่อ 17 พฤษภาคม 2567 15:30
สงวนลิขสิทธิ์ © 2547 - 2567 http://www.dmc.tv