จากตอนที่แล้ว ได้กล่าวถึงอาณาจักรอันกว้างใหญ่ไพศาล อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพรรณธัญญาหาร ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งวิเทหรัฐอันรุ่งเรือง ราชธานีมีนามว่า มิถิลานคร เป็นมหานครอันคับคั่งด้วยชาวประชา คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งเดินทางผ่านไปมาเพื่อประกอบการค้าขายมิได้ขาด
เจ้าเหนือหัวผู้เป็นจอมราชาแห่งแคว้นวิเทหรัฐ ทรงมีพระนามว่า พระเจ้าวิเทหราช ท้าวเธอทรงมีราชบัณฑิตประจำราชสำนักถึง ๔ ท่าน มีนามตามลำดับอาวุโส คือ อาจารย์เสนกะ อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินทะ จึงทำให้วิเทหรัฐสงบร่มเย็นและรุ่งเรืองเรื่อยมา จนกระทั่งในคืนวันหนึ่ง เวลาใกล้รุ่ง พระเจ้าวิเทหราชขณะบรรทมเหนือพระแท่นไสยาสน์ ทรงพระสุบินนิมิตว่า ที่มุมพระลานหลวงทั้งสี่ทิศ มีกองเพลิง ๔ กองลุกโชติช่วง แต่แล้วก็มีกองเพลิงอีกกองหนึ่ง ผุดขึ้นท่ามกลางกองเพลิงทั้งสี่นั้น ลุกโพลงจนกลบความสว่างของกองเพลิงทั้งสี่ไปเสียสิ้น แสงนั้นพลันเจิดจ้าไปทั่วจักรวาล กระจ่างยิ่งกว่าแสงแห่งดวงดาวและแสงอาทิตย์ แผ่ไพศาลไปจรดถึงพรหมโลก แต่กลับเป็นแสงที่เย็นฉ่ำนวลตาประดุจแสงจันทร์ ปวงเทพเทวาและเหล่ามนุษย์ที่สัญจรไปมา พากันมาแวดล้อมอยู่รอบกองเพลิง ต่างพร้อมใจกันสักการบูชากองเพลิงนั้น
ครั้นรุ่งเช้า เหล่าปุโรหิตาจารย์ทั้งสี่ นำโดยท่านอาจารย์เสนกะ ก็พากันมาเข้าเฝ้าถวายบังคม พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงเล่าถึงพระสุบินนิมิตนั้น พร้อมกับรับสั่งถามด้วยความข้องพระหฤทัยว่า “ท่านอาจารย์ เราฝันน่ากลัวยิ่งนัก จะดีร้ายประการใด ขอท่านจงช่วยตรวจดูให้ถี่ถ้วนทีเถิด”

“ท่านอาจารย์ ก็แล้วกองเพลิงนั่น หมายถึงอะไรกันเล่า” ตรัสแล้วก็ทรงนิ่งเพื่อรอคอยคำตอบจากท่านเสนกะ

“ถ้าเช่นนั้น กองเพลิงใหญ่ที่ผุดพลุ่งขึ้น ท่ามกลางกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น คืออะไร และจักมีความวิเศษอย่างไร ขอท่านจงแจกแจงมาเถิด”
“ขอเดชะ ข้าพระองค์เห็นด้วยเกล้าว่า กองเพลิงใหญ่ ๔ กองนั้น เป็นนิมิตหมาย ระบุถึงพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๔ มิใช่ใครอื่นเป็นแน่แท้ แต่กองเพลิงที่สว่างเพียงแสงหิ่งห้อย แต่ภายหลังกลับขยายครอบคลุมกองเพลิงทั้ง ๔ นั้น เป็นนิมิตหมายว่า อีกไม่นานนัก จักมีบัณฑิตผู้อุดมด้วยปัญญาธิคุณ มีปรีชาญาณล่วงพ้นพวกข้าพระองค์ทั้ง ๔ เขาจักได้มาสู่พระบรมโพธิสมภารของพระองค์ตั้งแต่วัยเยาว์ ครั้นมาแล้ว เขาผู้นั้น จักเป็นที่เคารพบูชาของมหาชน หาผู้เสมอเหมือนมิได้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับเช่นนั้น ก็ทรงมีพระหฤทัยเต็มตื้นไปด้วยความปีติปราโมทย์ รับสั่งถามว่า“ก็แล้วบัณฑิตผู้นั้น บัดนี้อยู่ ณ ที่แห่งใด ท่านพอจะบอกเราได้หรือไม่”

พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทำนายของท่านเสนกะแล้ว ก็ทรงโสมนัสพระหฤทัยเป็นล้นพ้น เพราะเหตุที่ทรงใฝ่หาบัณฑิตคู่พระบารมีมาเนิ่นนาน พระองค์จึงได้กำหนดถ้อยคำทำนายของท่านเสนกะไว้แม่นมั่นในพระหฤทัยประหนึ่งรอยจารึกบนแผ่นศิลา จำเดิมแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์จึงเฝ้าเพียรปรารภถึงบัณฑิตผู้นั้นกับท่านเสนกะอยู่บ่อยครั้งไม่เว้นวาง แต่เมื่อกาลยังมาไม่ถึง พระองค์จึงได้แต่ทรงรอคอย จนกาลล่วงเลยไปนานถึง ๗ ปี

ในวันที่พระราชาทรงพระสุบินแปลกประหลาดนั้นเอง นางได้ให้กำเนิดทารกเพศชาย มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดั่งทองทา อีกทั้งในเวลาที่ทารกนั้นคลอดจากครรภ์มารดา ความทุกข์มิได้มีแก่นางสุมนาเทวีเลยแม้เพียงน้อยนิด เพราะทารกคลอดออกมาง่ายดาย ดุจหลั่งน้ำออกจากเครื่องกรองน้ำ
ยิ่งกว่านั้น ในมือข้างหนึ่งของทารกน้อยยังกำแท่งโอสถแท่งหนึ่ง ซึ่งเป็นยาทรงสรรพคุณวิเศษติดมาด้วยเป็นที่น่าอัศจรรย์ นางสุมนาเทวีผู้เป็นมารดาเห็นแท่งโอสถในมือของกุมารนั้น ก็เกิดความฉงนจึงพูดเปรยเป็นทำนองถามขึ้นว่า “ลูกได้อะไรมา”
กุมารนั้นก็ตอบมารดาทันทีว่า “โอสถจ๊ะแม่” แล้ววางทิพโอสถในมือของมารดา กล่าวว่า “แม่จ๋า แม่จงให้โอสถนี้แก่เหล่าคนไข้ ที่เจ็บป่วยด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งเถิด”
ครั้นได้ยินเสียงกุมารนั้นกล่าวตอบ นางสุมนาเทวีก็แทบไม่เชื่อหูของตน จึงได้บอกเรื่องนี้ให้แก่ท่านสิริวัฒกะผู้เป็นสามีทราบ ทั้งสองดำริกันว่า ชะรอยลูกของเราจักเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก คิดดังนี้แล้ว ก็ยิ่งบังเกิดความร่าเริงยินดี

เมื่อข่าวความวิเศษของแท่งโอสถนั้นเลื่องลือไปไกล บรรดาชาวบ้านที่ทราบข่าว ต่างแห่แหนกันมาขอยาวิเศษจากเศรษฐีไปรักษา แล้วก็หายป่วยไข้กันถ้วนหน้า เพราะอานุภาพของโอสถที่กุมารนั้นนำมาเป็นเหตุ ท่านสิริวัฒกเศรษฐีจึงได้ขนานนามบุตรชายของตนว่า มโหสถกุมาร แปลว่า ผู้มีแท่งโอสถอันมีอุปการะมากแก่มหาชน
มโหสถกุมารนั้น ท่านเริ่มฉายแววแห่งความเป็นบัณฑิตมาตั้งแต่เกิด คือ พอเกิดมาปุ๊บก็พูดได้ทันที ถือได้ว่ามีความเป็นอัจฉริยะเหนือทารกทั้งหลาย ส่วนว่า ความเป็นบัณฑิตของท่านจะมีความพิเศษพิศดารอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)