จากตอนที่แล้ว กลุ่มคนที่มาช่วยกันค้นหาแก้ว แม้จะวิดน้ำจนแห้งสระ กระทั่งลงมือลอกโคลนจนถึงดินแต่ก็ไม่พบแก้ว ในที่สุดอาจารย์เสนกะเห็นว่า ทุกคนต่างอ่อนล้าเต็มที จึงได้สั่งให้เลิกค้นหา ส่วนตนเองก็รีบเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อกราบทูลถวายรายงานให้ทรงทราบ
ท้าวเธอเมื่อทรงสดับจากอาจารย์เสนกะว่าไม่พบแก้วก็ทรงผิดหวัง แต่เมื่อเห็นว่าเขาได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วก็ทรงพอพระทัย จึงตรัสเอาใจว่า “ขอบใจนะท่านอาจารย์ แม้นมิได้ดวงแก้วมณีมา แต่ท่านอาจารย์ได้ปฏิบัติหน้าที่จนสุดความสามารถของตนแล้ว เพียงเท่านี้เราก็พอใจแล้วล่ะ”
แต่ผ่านไปไม่นาน ฝนก็ตกลงมาอีก น้ำจึงได้ไหลนองเข้ามาขังเต็มสระ แสงสว่างของดวงแก้วนั้นก็พลันปรากฏขึ้นมาอีก ครั้นทราบถึงพระเจ้าวิเทหราช พระองค์ก็ทรงมอบหมายให้ท่านเสนกะรับหน้าที่ไปดำเนินการค้นหาอีกครั้ง
ท่านเสนกะจึงรีบป่าวร้องให้มหาชนมาช่วยกันวิดน้ำและลอกโคลนเลนอีกครั้งหนึ่ง แต่แม้ท่านอาจารย์เสนกะจะเร่งระดมคนมาช่วยกันค้นหา ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งพลบค่ำ แต่ผลก็ยังคงเป็นเช่นเดิม จำต้องเข้ากราบทูลรายงานต่อพระราชาด้วยอาการที่อ่อนล้าเต็มที
ท้าวเธอทรงดำริว่า “นี่มิใช่เรื่องธรรมดา ถ้าท่านเสนกะยังไม่อาจรู้ได้ แล้วใครเล่าจักรู้” ทันใดนั้น ท้าวเธอก็ทรงระลึกถึงมโหสถบัณฑิตผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์ จึงได้รับสั่งทหารให้ไปเรียกมโหสถบัณฑิตมาเข้าเฝ้าโดยเร็ว
ครั้นมโหสถบัณฑิตมาถึงแล้ว จึงได้ตรัสเล่าที่มาของเรื่องราวทั้งหมดให้มโหสถฟังว่า “พ่อบัณฑิตน้อยของฉัน ข่าวว่ามีแก้วมณีดวงหนึ่งปรากฏแสงเจิดจ้าอยู่ในสระโบกขรณี เราจึงได้มอบให้เป็นภาระของท่านอาจารย์เสนกะในการค้นหา แม้ว่าจะวิดน้ำจนสระแห้ง ทั้งลอกโคลนตมออกค้นหาแล้วก็ตาม แต่ถึงกระนั้น ก็ยังไม่พบแก้วมณีดวงนั้น พ่อบัณฑิตเอย แล้วเจ้าล่ะ จักสามารถนำแก้วมณีดวงนั้นมาให้เราได้หรือไม่เล่า”
ครั้นท้าวเธอตรัสจบลง มโหสถบัณฑิตจึงรีบกราบทูลให้ทรงเบาพระทัยว่า “ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เหตุเพียงเท่านี้ คงจะมิใช่เรื่องหนักหนาแต่อย่างใด พระเจ้าข้า”
“เธอว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ” พระองค์ตรัสถาม
“พระเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตทูลตอบอย่างมั่นใจ พร้อมกับได้กราบทูลสนองพระราชบัญชาด้วยความองอาจว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระองค์ขอพระราชทานพระวโรกาส กราบบังคมทูลเชิญใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเสด็จพระราชดำเนินไปยังสระโบกขรณี เพื่อทอดพระเนตรดวงแก้วมณีนั้น ในเวลานี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นพระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำทูลเชิญให้เสด็จไปเพื่อพิสูจน์ความจริงเช่นนั้น ก็ทรงปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก จึงมีรับสั่งให้ตระเตรียมขบวนเสด็จเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไปสู่สระโบกขรณีนั้นในทันที
บรรดาเหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารทั้งหลาย ครั้นได้ฟังคำทูลของมโหสถแล้ว ต่างก็คิดตรงกันว่า “ก่อนนี้ พวกเราเคยได้ทราบเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ของมโหสถ ก็เพียงข่าวคราวเล่าลือเท่านั้นเอง แต่คราวนี้ล่ะ เป็นโอกาสดีที่พวกเราจักได้เห็นประจักษ์ด้วยตาของตน” ครั้นแล้วทั้งหมดจึงได้ขอตามเสด็จไปด้วยโดยพร้อมหน้ากันในยามนั้น บริเวณริมฝั่งของสระโบกขรณีทางทิศใต้ของพระนคร คับคั่งไปด้วยมหาชนนับพัน ซึ่งพร้อมใจกันมารอดูดวงแก้วมณี ซึ่งบัดนี้ได้ฉายแสงเจิดจรัสอยู่ในกลางสระน้ำ แต่ไม่ปรากฏให้เห็นดวงแก้วมณีที่ชัดเจนแต่อย่างใด
ทันทีที่มโหสถมาถึง ก็รีบมุ่งตรงไปที่ริมขอบสระ ยืนจ้องมองดูแสงแก้วมณีนั้นอย่างพินิจพิจารณา แม้นสระโบกขรณีนั้นจะกว้างใหญ่สักเพียงใดก็ตาม แต่พอมโหสถสังเกตดูเพียงครู่เดียว ก็รู้ทันทีว่า แสงที่เห็นนั้นมิใช่แสงที่พวยพุ่งขึ้นมาจากสระอย่างแน่นอน แท้ที่จริงคงเป็นเพียงเงาสะท้อนของดวงแก้วมณีเท่านั้น แต่ปัญหาที่ยากยิ่งกว่านั้นก็คือ “แล้วแก้วมณีนั้นเล่า ตั้งอยู่ ณ ที่แห่งใดกัน”
เมื่อคำถามนั้นผุดขึ้นในใจเช่นนี้ มโหสถจึงดำริต่อไปว่า “เมื่อแก้วมณีนั้นมิได้อยู่ในสระ ก็ควรจะอยู่ในบริเวณรอบสระโบกขรณีนี้ ไม่ที่ใดก็ที่นึงเป็นแน่”
คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงเร่งสำรวจตรวจตราดูโดยรอบ เหลียวมองข้างโน้นข้างนี้ เป็นเหตุให้มหาชนที่เฝ้าดูอยู่ ต่างแปลกใจไปตามๆกัน สุดที่จะคาดเดาได้ว่า มโหสถกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ในขณะที่หลายคนพยายามแหงนมองตาม โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าเขากำลังมองหาสิ่งใดกันแน่
มโหสถค้นหาที่มาของแสงแก้วนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันสังเกตเห็นต้นตาลต้นหนึ่ง ชูลำต้นโดดเดี่ยวสูงชะลูด อยู่ในที่ไม่ไกลจากขอบสระเท่าใดนัก
ในที่สุด มโหสถจึงคาดคะเนจากสิ่งที่เห็นว่า “แสงของแก้วมณีที่ปรากฏในสระน้ำ เป็นเพียงเงาฉายของดวงแก้วมณี ซึ่งสะท้อนมาจากที่อื่นใดมิได้เลย นอกเสียจากบนต้นตาลต้นนี้”ครั้นกำหนดชัดลงไปเช่นนั้นแล้ว จึงได้กราบทูลท้าวเธอว่า “ขอเดชะ พระบารมีปกเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าพิเคราะห์เห็นด้วยเกล้าว่า แก้วมณีนี้มิได้อยู่ในสระโบกขรณีนี้ดอก พระพุทธเจ้าข้า”
“เอ...อย่างไรกันพ่อบัณฑิต” พระองค์ตรัสด้วยทรงฉงนพระหฤทัย “บัดนี้เธอก็เห็นเองแล้วมิใช่หรือว่า แสงนั้นปรากฏแวววาวอยู่ในกลางสระน้ำ”
“เห็นพระพุทธเจ้าข้า ข้าแต่ฝ่าละอองธุลีพระบาท แต่นั่นก็มิได้หมายความว่า แก้วมณีนั้นจักต้องตั้งอยู่ตรงนั้นเสมอไปนะ พระพุทธเจ้าข้า”
มโหสถกราบทูลดังนี้แล้ว ก็ขอพระราชทานพระวโรกาสทดลองให้ทรงทอดพระเนตร โดยให้คนยกถาดขนาดใหญ่ซึ่งใส่น้ำจนเต็มปรี่ แล้วนำมาวางลงที่ริมขอบสระ ทันทีที่ถาดนั้นถูกวางลง แสงแก้วก็พลันปรากฏให้เห็นอยู่ในถาดน้ำ เช่นเดียวกับที่เห็นในสระโบกขรณี
มโหสถจึงได้กราบทูลว่า “ขอเดชะ พระองค์ผู้สมมติเทพ ขอเชิญฝ่าพระบาททอดพระเนตรเถิด ใช่ว่าแก้วมณีนี้จะปรากฏเห็นแวววาวอยู่เพียงในสระโบกขรณีเท่านั้น ก็หามิได้
ในถาดน้ำนี้แม้มิได้มีดวงแก้วแต่แสงแวววาวก็ยังปรากฏ ในสระนั่นก็เช่นเดียวกัน แสงแวววาวที่ปรากฏนั้นเป็นเพียงเงาฉายของแก้วมณี ซึ่งสถิตอยู่ในที่สูงแห่งใดแห่งหนึ่งโดยรอบสระนี้เป็นแน่แท้ พระพุทธเจ้าข้า”ส่วนพระเจ้าวิเทหราช ครั้นได้ทอดพระเนตรเงาแก้วมณีที่อยู่ในถาดน้ำแล้ว จะทรงมีพระราชดำรัสอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
http://goo.gl/e3bBu