
ปิงคุตตระเห็นนางปีนตามขึ้นมา ก็รีบปีนลงจากต้นมะเดื่อ แล้วไปหอบเอากิ่งไม้ที่มีหนาม มาสุมไว้รอบบริเวณโคนต้นมะเดื่อ บอกตัดขาดเยื่อใยกับนาง แล้วเขาก็รีบเดินหนีไป ปล่อยให้นางรันทดระทมใจอยู่บนคาคบของต้นมะเดื่อแต่เพียงผู้เดียว
วันนั้น เป็นวันที่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ตกเย็นจึงเสด็จกลับคืนสู่พระนคร ขณะที่เสด็จผ่านต้นมะเดื่อนั้น ทรงทอดพระเนตรเห็นนางนั่งอยู่ลำพังผู้เดียวบนต้นมะเดื่อ เพียงครั้งแรกที่ได้พบก็ทรงเกิดพระสิเน่หาไม่อาจเสด็จผ่านต่อไปได้

นับแต่พระเจ้าวิเทหราชทรงรับพระนางเข้ามาสู่พระราชนิเวศน์ พระนางได้เป็นที่โปรดปรานของท้าวเธออย่างมาก จนท้าวเธอไม่ประสงค์จะเสด็จไปในที่ใดอีกเลยเป็นเวลานานแรมเดือน แม้การเสด็จประพาสนอกเขตพระราชฐานซึ่งเป็นราชกิจที่ทรงโปรดปรานมาแต่เดิม ก็จำต้องเว้นว่างไปโดยปริยาย
ด้วยเหตุนี้ ถนนหนทางที่เคยเสด็จพระราชดำเนิน บัดนี้จึงกลับรกร้างว่างเปล่าไปในทันที
กระทั่งวันหนึ่ง พระเจ้าวิเทหราชทรงพระปรารภที่จะเสด็จประพาสพระราชอุทยานเพื่อทรงสำราญพระราชหฤทัยพร้อมกับพระอัครมเหสี โดยในครั้งนี้ท้าวเธอทรงมีพระราชประสงค์จะเปลี่ยนจากขบวนช้างพระที่นั่งมาเป็นขบวนรถพระที่นั่ง
ฉะนั้น ก่อนจะถึงวันที่พระราชาและพระอัครมเหสีจะเสด็จ ทางพระราชสำนักจึงได้เกณฑ์เอาชาวเมือง มาช่วยกันเตรียมการแผ้วถางหนทางและปัดกวาดถนนหลวงสองข้างทางให้พร้อมเสด็จ

เมื่อพิจารณาตามกฎแห่งกรรม จะเห็นชัดว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม คือ หากสร้างบุญไม่ตลอดต่อเนื่อง ก็ย่อมมีวันตกต่ำเป็นธรรมดา ปิงคุตตระก็เช่นเดียวกัน แม้นเขาจะสำเร็จศิลปวิทยามาจากสำนักทิศาปาโมกข์แห่งตักศิลา ซึ่งคนที่มีสติปัญญาสามารถถึงเพียงนี้ โชควาสนาควรจะส่งให้ได้เป็นถึงระดับเจ้าขุนมูลนาย มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย แต่เพราะความเป็นผู้สิ้นไร้บุญวาสนาทั้งในอดีตและภพชาติปัจจุบัน ในที่สุดจึงกลายเป็นคนอาภัพอับโชค ถึงกับต้องถูกเกณฑ์มาถางหญ้ากวาดถนน
ในวันเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ปรากฏว่าการตระเตรียมถนนหนทางเพื่อรับเสด็จ ก็ยังไม่แล้วเสร็จ คนที่กำลังถากหญ้าก็ถากไป คนที่กำลังถางก็ถางไป คนที่กำลังเกลี่ยดินก็เกลี่ยไป พร้อมกันนั้นก็มีเสียงตะโกนดังมาเป็นระยะๆ ว่า “พระราชาเสด็จแล้ว พระราชาเสด็จแล้ว”

แม้นจะถูกสหายชี้ชวนให้แลดูพระอัครมเหสีของพระราชา แต่ปิงคุตตระก็มิได้สนใจ ยังคงก้มหน้าก้มตาเกลี่ยถนนอยู่นั่นเอง ขณะนั้น พระนางอุทุมพรประทับนั่งเคียงข้างท้าวเธออยู่บนรถพระที่นั่งที่ประดับประดาอย่างอลังการสมพระเกียรติ ทรงแลดูฝูงชนที่มารอรับเสด็จอยู่สองข้างทาง
พลันสายพระเนตรก็เหลือบไปเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังขะมักเขม้นกับการเกลี่ยดินให้เสมอกัน ท่าทางของเขาดูเหนื่อยล้า มีเหงื่อไหลโซมกาย ครั้นเห็นใบหน้าของเขาชัดๆ ก็ทรงจำได้แม่นมั่นว่า เขาผู้นี้คือนายปิงคุตตระนั่นเอง

พระนางทรงดำริในพระทัยเช่นนี้แล้ว ก็ทรงพระสรวลออกมาเบาๆ โดยหารู้ไม่ว่าทุกอากัปกิริยาของพระนางนั้น ตกอยู่ในสายพระเนตรของพระราชสวามีตลอดเวลา
การหัวเราะขึ้นลอยๆ โดยไร้เหตุผลเช่นนั้น เป็นเหตุให้ท้าวเธอทรงขุ่นเคืองพระราชหฤทัยไม่น้อย เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่า พระนางทรงครุ่นคิดสิ่งใดอยู่ภายในพระหทัย ท้าวเธอทรงคลางแคลงพระทัยยิ่งนัก ทรงจ้องเขม็งตรงไปที่พระนาง พลางตรัสถามด้วยพระสุรเสียงอันน่าพรั่นพรึง “น้องหญิง เธอหัวเราะทำไม มีอะไรน่าขันหรือ”

พระนางตรัสพลางชี้พระหัตถ์ไปทางปิงคุตตระ ซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาเกลี่ยดินอยู่บริเวณด้านหน้าขบวนเสด็จ “ในวันนี้หม่อมฉันได้มาพบเขาอีกครั้ง จึงนึกถึงความหลังครั้งก่อนนั้นนึกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนำมาเปรียบกัน จึงได้แต่รำพึงในใจว่า ชายผู้นี้เป็นคนกาลกรรณีแท้ เขาช่างไม่มีบุญวาสนาที่จะได้ชื่นชมหม่อมฉัน หม่อมฉันดำริเช่นนี้ จึงได้หัวเราะออกมาเพคะ”
ส่วนพระเจ้าวิเทหราชเมื่อได้สดับเรื่องที่แปลกแต่จริงเช่นนั้นก็ไม่ทรงเชื่อ กลับทรงขุ่นเคืองพระนางยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนว่าท้าวเธอจะทรงรับสั่งอย่างไรกับพระนาง โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)