
ฝ่ายมโหสถบัณฑิตครั้นทราบว่าอาจารย์ทั้ง ๔ พากันมาหาตน ก็รู้ทันทีว่ามิใช่เรื่องอื่นแน่ จึงออกมาต้อนรับ เมื่อถูกถามถึงเรื่องปัญหานั้นว่า พ่อบัณฑิตคิดคิดปริศนานั้นได้หรือยังล่ะ จึงตอบทันทีว่า “ หากกระผมคิดไม่ได้ แล้วท่านคิดว่าใครเล่าจะคิดได้”
ในที่สุดมโหสถบัณฑิตจึงผูกคาถาขึ้น ๔ บท ซึ่งแต่ละบทมีเนื้อความต่างกัน แล้วก็ให้อาจารย์ทั้ง ๔ เรียนคาถานั้นคนละบท โดยให้ลดตัวลงนั่งบนอาสนะที่ต่ำกว่าตน พร้อมกับให้ประนมมือน้อมรับคาถานั้น แล้วกำชับว่า “ในเวลาที่พระราชาตรัสถาม ก็พึงกล่าวคาถานี้ไปตามที่ข้าพเจ้าบอกเถิด”
อาจารย์ทั้ง ๔ เมื่อได้คาถานั้นแล้วก็พากันโล่งใจไปตามๆกัน ราวกับยกภูเขาอันมหึมาออกไปจากอก แม้จะไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของคาถานั้น แต่ทุกคนก็มั่นใจว่า คงพอจะรอดวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ครั้นจำคาถานั้นได้ดีแล้ว จึงได้ขอตัวแยกย้ายกลับสู่เรือนของตน

อาจารย์เสนกะยืดอกขึ้นกราบทูลอย่างองอาจว่า “ขอเดชะ หากข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบแล้ว ใครเล่าจะทราบ”
ท้าวเธอทรงพระสรวลด้วยความพอพระทัย พลางรับสั่งว่า “ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านว่ามาเถิด”
“ข้าแต่เจ้าเหนือหัว ขอพระองค์ทรงสดับคำของข้าพระพุทธเจ้าเถิด” อาจารย์เสนกะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางองอาจ

ท่านเสนกะกล่าวคาถานี้ได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งๆที่ตนเองก็มิได้เข้าใจความหมายเลยแม้แต่น้อย แต่พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบเนื้อความแห่งคาถานั้นเป็นอย่างดี จึงทรงเข้าพระทัยว่า ท่านเสนกะรู้เรื่องนี้จริง ท้าวเธอจึงทรงผินพระพักตร์ไปทางอาจารย์ปุกกุสะ แล้วตรัสถามด้วยคำถามเดียวกัน
อาจารย์ปุกกุสะก็รีบกราบทูลอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ฝูงชนใช้หนังแพะเป็นเครื่องลาดหลังม้า แล้วพากันควบขี่ไปอย่างสบาย ไม่มีใครใช้หนังสุนัขปูลาดหลังม้าเลย ครั้งนี้มิตรภาพระหว่างแพะกับสุนัขจึงได้มีต่อกัน”
อาจารย์กามินทะก็ได้กราบทูลตามที่เรียนมาเช่นกันว่า “แท้จริงแพะมีเขาโค้งงอบิดเป็นเกลียว แต่สุนัขไม่มีเขาเลยทีเดียว แพะกินหญ้า แต่สุนัขกินเนื้อ ช่างเหลือเชื่อ มิตรภาพอันดีระหว่างแพะกับสุนัขก็มีต่อกันได้”
ท้าวเธอได้สดับดังนั้น ก็ทรงเข้าพระทัยอีกว่า แม้อาจารย์กามินทะก็รู้คำตอบเช่นกัน จึงทรงผินพระพักตร์ไปทางอาจารย์เทวินทะบ้าง ก็ทรงได้รับคำตอบในทันทีว่า “แพะชอบใจหญ้าและใบไม้ ส่วนสุนัขชอบไล่จับกระต่ายและแมวกิน น่าประหลาดแท้ แม้แพะกับสุนัข ก็ยังมาเป็นเพื่อนกันได้”

มโหสถทูลรับสนองว่า “ขอเดชะ เว้นข้าพระองค์แล้ว คนอื่นใครเลยจักทราบคำตอบที่ลึกซึ้งของปริศนานี้”
“ดีล่ะ พ่อบัณฑิต ถ้าเช่นนั้น เธอก็จงว่าไป”

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับคำตอบของมโหสถ ก็ยิ่งทรงทราบชัดถึงความเป็นไประหว่างแพะกับสุนัขที่ได้ทอดพระเนตรเห็นผ่านทางช่องพระแกล จึงทรงเข้าพระทัยว่า ราชบัณฑิตทั้ง ๕ ล้วนแทงตลอดในปัญหาด้วยปัญญาของตนทั้งสิ้น

ครั้นแล้วท้าวเธอจึงได้พระราชทานรางวัลให้แก่ราชบัณฑิตเหล่านั้นโดยเท่าเทียมกันทุกคน คือทรงโปรดพระราชทานรถเทียมม้าอัสดรให้คนละคัน พร้อมด้วยบ้านส่วยอีกคนละหมู่บ้าน
การช่วยเหลือเกื้อกูลกันนั้นเป็นความงดงามของโลกและจักรวาล เช่น น้ำตกและลำธารให้น้ำแก่แม่น้ำ แม่น้ำให้น้ำแก่มหาสมุทร มหาสมุทรให้น้ำแก่ท้องฟ้า ท้องฟ้าทำสายฝนให้ตกลง ให้น้ำแก่โลกหล้า สรรพชีวิตจึงดำเนินไปได้
ถ้าหากขาดการให้แก่กันและกันแล้ว โลกของเราก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ดำเนินไปไม่ได้ ดังนั้น เราจึงควรฝึกการให้จนติดเป็นนิสัย บางคนมีทรัพย์มากก็ให้ทรัพย์ บางคนมีความรู้มากก็ให้ความรู้ บางท่านมีธรรมะมากก็ให้ธรรมะ เพราะผู้ที่ฝึกให้จนเป็นอุปนิสัยแล้ว ย่อมจะได้สัมผัสความสุขที่เกิดจากการให้อย่างแท้จริง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ ท่านเสนกะและสหายทั้ง ๓ ได้รอดพ้นจากการถูกขับไล่ ก็ด้วยอาศัยความกรุณาของมโหสถบัณฑิตที่เป็นผู้ไม่มีความตระหนี่ในธรรม ได้แบ่งปันความรู้ให้ จึงทำให้อาจารย์ทั้ง ๔ ได้ที่พึ่งพาอาศัย ส่วนในครั้งหน้า เป็นการโต้ปัญหาระหว่างมโหสถกับอาจารย์ทั้ง ๔ ในหัวข้อที่ว่า คนที่มีปัญญากับคนพาลแต่มียศยิ่งใหญ่ ใครจะประเสริฐกว่ากัน เรื่องราวจะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)