
พระราชาครั้นทรงทราบความจริงเช่นนั้น ก็ยิ่งทรงโปรดปรานมโหสถบัณฑิตมากขึ้น แต่ก็ทรงระงับเรื่องการพระราชทานรางวัลเพิ่ม

ท่านเสนกะรับฟังพระราชดำรัสนั้นแล้ว ก็รีบกราบทูลอย่างมั่นใจว่า “บัณฑิตผู้ฉลาดปราดเปรื่อง แต่หากว่าเป็นคนไม่มีทรัพย์ ไร้ยศศักดิ์ เขาเหล่านั้นย่อมตกอยู่ในอำนาจของผู้มีทรัพย์ ดังนั้นข้าพระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า คนมีปัญญาไม่ประเสริฐเลย ผู้มีทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่า ”
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับคำของท่านเสนกะแล้ว ก็ไม่ทรงปรารถนาจะถามอาจารย์ที่เหลือ แต่ทรงผ่านไปตรัสถามมโหสถบัณฑิตทันทีด้วยคำถามเดียวกันว่า “พ่อมโหสถเอย เราจักขอถามเธอบ้างล่ะว่า ระหว่างคนโง่ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์และยศ กับบัณฑิตผู้ไร้โภคทรัพย์ ท่านผู้รู้ย่อมสรรเสริญว่า ใครเป็นผู้ประเสริฐกว่ากันเล่า”

“ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ขอพระองค์โปรดทรงสดับความเห็นของข้าพระบาทก่อนเถิด พระพุทธเจ้าข้า บุคคลผู้มีทรัพย์มาก แต่เป็นผู้ปราศจากปัญญาเสียแล้ว เขาย่อมชื่อว่าเป็นคนพาลนั่นเอง คนพาลย่อมจะสำคัญว่าทรัพย์เท่านั้นเป็นสิ่งประเสริฐ จึงมัวแต่แสวงหาทรัพย์
ครั้นหาทรัพย์มาได้แล้ว ก็มัวเมาในการใช้สอยทรัพย์นั้นกระทำกรรมอันชั่วช้า เพียงเพราะเห็นแก่ความเพลิดเพลินในโลกนี้ มิได้หยั่งเห็นถึงโลกหน้า เขาจึงเป็นผู้พ่ายแพ้ในโลกทั้งสอง คือในโลกนี้ก็ย่อมไม่ได้รับสุขในการใช้ทรัพย์ แม้นในโลกหน้า เขาย่อมได้รับทุกข์เพราะผลแห่งกรรมอันชั่วช้าของตน ข้าพระพุทธเจ้าเห็นดังนี้ จึงกล่าวว่า คนมีทรัพย์ไม่ประเสริฐเลย ผู้มีปัญญาต่างหากเล่าเป็นผู้ประเสริฐ พระพุทธเจ้าข้า”

ท่านเสนกะฟังพระดำรัสแล้ว ก็กล่าวตอบโต้ว่า “ช้าก่อนพ่อมโหสถ มหาเศรษฐีผู้มีทรัพย์ให้ใช้สอยตามต้องการ มีหรือที่จะไม่ได้รับความสุขในโลกนี้ ดูอย่างโครวินทเศรษฐี (โค-ระ-วิน-ทะ-เสด-ถี) อย่างไรเล่า แม้นเป็นคนขี้ริ้วขี้เหร่ รูปร่างวิกล ไม่มีวิชาความรู้ใดๆ แม้เวลาที่พูดยังมีน้ำลายไหลยืดออกจากปาก น่าขยะแขยงถึงเพียงนั้น แต่เขากลับเป็นที่นับหน้าถือตาของมหาชนในมิถิลานคร จะว่าเป็นเพราะมีรูปงามก็หาไม่ เพราะมีศิลปะก็หาไม่ แต่เพราะเหตุที่เขามีทรัพย์ มีมากถึง ๘๐ โกฏิทีเดียว ทรัพย์นั้นจึงบันดาลความสุขให้เหลือคณานับ

ดอกอุบลเขียวที่โยนไปนั้น พวกนักเลงสุราที่เดินเข้าร้านเหล้าต้องการกันนัก จึงเฝ้าแวะเวียนผ่าน คอยตะโกนเรียกขานชื่อของโครวินทเศรษฐีอยู่มิเว้นวาง
เมื่อเศรษฐีถามกลับว่า จะมาเรียกทำไมกัน น้ำลายก็จะไหลออกมา ไม่ช้าดอกอุบลเขียวก็จะปลิวมาทางช่องหน้าต่าง นักเลงสุราจะพากันยื้อแย่ง ครั้นได้มาก็นำเอาไปล้างน้ำแล้วทัดหูเป็นเครื่องประดับที่หรูนัก
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับแล้ว ก็ทรงหนักพระทัยอยู่มิใช่น้อย เพราะตัวอย่างของโครวินทเศรษฐีที่ท่านเสนกะยกอ้างมานั้น พระองค์ก็ทรงทราบดี แม้นใครๆก็รู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง เป็นข้อยืนยันมั่นคงว่า บุคคลผู้ไม่มีศิลปะ ไม่มีพวกพ้อง แม้รูปร่างจะไม่สมประกอบก็ตามที แต่ขอให้มีทรัพย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อำนาจของทรัพย์ย่อมอำนวยสุขให้อย่างมหาศาล
เพราะแม้แต่ดอกบัวที่เปื้อนน้ำลายของผู้มีทรัพย์ ยังมีคนยื้อแย่งเอาไปเป็นเครื่องประดับอันเป็นที่เชิดหน้าชูตาได้ ท้าวเธอทรงใคร่จะรู้ว่า มโหสถจะกล่าวแก้อย่างไร จึงตรัสถามว่า “เป็นอย่างไรพ่อมโหสถ ท่านเสนกะยกอุทาหรณ์ยืนยันได้มั่นคงทีเดียวนา พ่อล่ะจะว่าอย่างไร”

การโต้วาทะครั้งนี้ คงจะไม่จบลงโดยง่าย เพราะอาจารย์เสนกะนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ ยึดถือวาทะเช่นนี้มานาน แต่มโหสถบัณฑิตจะกล่าวแก้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)