เมื่ออาจารย์ทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้ว ท้าวเธอจึงตรัสเล่าปัญหา ๔ ข้อที่เทวดาผูกขึ้น เพื่อให้อาจารย์ทั้ง ๔ ได้ช่วยกันคลี่คลาย แต่พวกเขาทั้งหมด เมื่อฟังปัญหานั้นจบลง ก็ให้รู้สึกมืดมนจนปัญญาพากันส่ายหน้า แล้วก็นั่งก้มหน้ามองพื้น ไม่กล้าสบพระเนตรพระเจ้าวิเทหราช
ฝ่ายพระเจ้าวิเทหราช ครั้นทรงรู้ว่า ไม่มีใครจะสามารถตอบคำถามของเทวดาได้ ก็ทรงร้อนรุ่มในพระหฤทัยเป็นที่สุด แล้วในคืนนั้นเอง ขณะที่ท้าวเธอบรรทมเหนือพระแท่น ยังไม่ทันจะเข้าสู่นิทรา เทวดาตนนั้นก็พลันปรากฏกายขึ้น พร้อมคำถามว่า “มหาราช ท่านแก้ปัญหาได้แล้วหรือ”
ท้าวเธอรีบตรัสตอบด้วยพระอาการตื่นกลัวว่า “เราได้เรียกราชบัณฑิตทั้ง ๔ มาถามแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครทราบคำตอบเลย จึงขอผลัดท่านไปอีกสักหนึ่งคืนเถอะ”
เทวดาได้ฟังพระดำรัสของพระราชาเช่นนั้น ก็แสร้งขู่ไปว่า “บัณฑิตเหล่านั้นจะรู้อะไร เว้น มโหสถบัณฑิตเสียแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ หากคืนพรุ่งนี้ท่านยังไม่ตามตัวมโหสถมาตอบปัญหา นั่นก็หมายความว่าชีวิตของท่านจะต้องดับสูญ” กล่าวดังนี้แล้วก็หายวับไป

ในที่สุดท้าวเธอจึงทรงกลับได้พระสติ หวนระลึกถึงมโหสถบัณฑิตผู้รับใช้ใกล้ชิดพระองค์มานาน พลางรำพึงในพระทัยว่า “มโหสถเอย บัดนี้เจ้าอยู่ ณ ที่หนใดกันหนอ ไฉนเราจึงจะได้พบเจ้าอีก ก็เจ้ามาหนีเราไปโดยไม่บอกลา แล้วคราวนี้เราจะได้ใครเป็นที่พึ่งในยามยากเช่นนี้เล่า”
ครั้นรุ่งเช้า ท้าวเธอจึงตรัสเรียกอำมาตย์ ๔ นายมา รับสั่งว่า “เจ้าทั้ง ๔ คน จงขึ้นรถเทียมม้าไปคนละคัน แยกย้ายกันออกจากประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ แล้วจงเที่ยวค้นหาว่า บัดนี้มโหสถบัณฑิตอยู่ ณ ที่แห่งหนตำบลใด หากแม้นพบตัวมโหสถบัณฑิตในที่ใดแล้วละก็ เจ้าก็จงมอบทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะพร้อมผ้า ๑ คู่ให้แก่มโหสถในที่นั้นแหละ ครั้นแล้วก็อย่าได้รีรอ รีบพาตัวมโหสถบัณฑิตกลับมาเข้าเฝ้าเราโดยเร็วที่สุด”
อำมาตย์ทั้ง ๔ รับพระบรมราชโองการใส่เกล้าแล้ว ก็ไม่รอช้า รีบสั่งให้สารถีขับรถเทียมม้า แล้วมุ่งหน้าออกทางประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศในทันที

ครั้นได้ยินข่าวดีเช่นนั้น อำมาตย์ผู้นั้นก็ตัดสินใจเดินทางไปยังบ้านของนายช่างหม้อทันที ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน มโหสถบัณฑิตกำลังขนดินเหนียว เตรียมไว้ให้นายช่างหม้อใช้ปั้นหม้อ ร่างกายจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินเหนียว เนื้อตัวมีเหงื่อไหลโทรมกาย
ครั้นเสร็จภาระกิจการงานในยามสายแล้ว จึงกลับมานั่งพักบนตั่ง เตรียมบริโภคอาหารกลางวันซึ่งมีเพียงข้าวเหนียวไม่มีแกง เช่นเดียวกับลูกจ้างคนอื่นๆที่ทำงานอยู่ในบ้านช่างปั้นหม้อ
คิดดังนี้แล้ว มโหสถบัณฑิตจึงโยนปั้นข้าวเหนียวที่ถือไว้ทิ้งไป จากนั้นก็ลุกขึ้นไปบ้วนปาก รอจนอำมาตย์ผู้นั้นเดินเข้ามาหาใกล้ๆ ครั้นแล้วจึงเป็นฝ่ายถามอำมาตย์ขึ้นก่อนว่า “ท่านอำมาตย์ พระราชาทรงมีพระประสงค์ให้ท่านมาจับเราหรือ”
อำมาตย์นั้นรู้ว่าเป็นมโหสถบัณฑิตจริงๆ ก็ดีใจเป็นนักหนา รีบตอบด้วยด้วยสีหน้าเบิกบานว่า “หามิได้เลย กระผมน่ะรับพระบรมราชโองการเร่งด่วนจากเจ้าเหนือหัว ให้มาเชิญท่าน มโหสถบัณฑิตกลับกรุงมิถิลาโดยเร็ว”
“จะตามกลับไปทำไมกันหรือ พระราชาต้องการจะเอาเราเข้าตะรางอย่างนั้นหรือ ” มโหสถแกล้งเย้า

มโหสถบัณฑิตเมื่อทราบว่าพระราชาทรงปรารถนาจะให้ตนกลับไปสนองงาน จึงกล่าวกับอำมาตย์ว่า “นั่นอย่างไรเล่า อานุภาพแห่งปัญญา ท่านคงเห็นแล้วสิว่า มิใช่เพราะอานุภาพแห่งปัญญาดอกหรือ ที่เป็นเหตุให้พระราชาปรารถนาจะให้เรากลับไป ก็ในยามไร้ที่พึ่งพิงเช่นนี้ คงไม่มีอะไรดียิ่งไปกว่าปัญญาเป็นแน่ อิสริยยศแม้จะวิเศษเพียงไร ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจนำมาเปรียบกับปัญญาได้เลย”

พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)