
ครั้นได้ขนมกินตามที่ขอแล้ว ก็บ่ายเบี่ยงว่า จะให้หนูไปตากแดด ร้อนจะตาย หนูไม่ไปหรอก แล้วก็ทำปากแบะแสยะยิ้มล้อเลียนมารดา มารดาเห็นบุตรทำท่าหลอกอย่างนั้นก็โกรธ ด่าทอ แช่งชักหักกระดูก แต่ถึงจะสาปแช่งอย่างไร ใจจริงมิได้ปรารถนาจะให้เป็นไปตามนั้นเลย”
หลังจากที่มโหสถบัณฑิตได้พยากรณ์ปัญหานั้นจบ อารักขเทวดาก็มาปรากฏกายให้สาธุการ แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชามโหสถบัณฑิตด้วยพวงบุปผชาติ แล้วก็ตรัสถามต่อไปว่า “บุคคลผู้กล่าวตู่กันด้วยคำไม่จริง แต่กลับเป็นที่รักของกันและกัน บุคคลที่ว่านั้นคือใคร”

มโหสถบัณฑิตทูลเล่าเรื่องนี้ยังไม่ทันจบ ท้าวเธอก็ทรงแย้มพระสรวลด้วยความพอพระทัย เพราะตัวอย่างที่มโหสถยกมากล่าวนั้น เป็นเหตุการณ์ที่ใครๆ ก็สามารถตรองตามได้ไม่ยากนัก
ครั้นแล้วมโหสถบัณฑิตจึงทูลต่อไปว่า “ฝ่ายหญิงผู้เป็นภรรยาก็โต้ตอบสามีว่า “พี่น่ะ ช่างใส่ความฉันเหลือเกิน คงเป็นพี่ละกระมังที่ปันใจให้หญิงอื่น เมื่อครั้งได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกันใหม่ๆ พี่เฝ้าพะเน้าพะนอเอาอกเอาใจฉันทุกอย่าง สัญญาว่าจะรักฉันตราบชั่วชีวา
ก็แล้วเดี๋ยวนี้พี่มาทำเป็นหมางเมิน ยังไม่ทันไร ความรักของพี่ก็ดูลดน้อยลงไปทุกวัน พี่ปฏิบัติต่อฉันเหมือนฝืนๆ ปานว่าจะกล้ำกลืน มิได้ใส่ใจสักนิดว่าฉันจะคิดเช่นไร

เมื่อทั้งคู่โต้ตอบกันไปมาในทำนองนี้ เพลิงตัณหาที่ยังคุกรุ่นภายใน ก็ยิ่งลามเลียเผาไหม้จิตใจ แล้วต่างฝ่ายต่างก็แสดงความรักใคร่สิเน่หากันอย่างดูดดื่มตามประสาคนรัก ครั้นยิ่งทักท้วงและตู่กันหนักเข้า ก็ยิ่งเป็นที่รักของกันและกันมากขึ้นเพียงนั้น
ข้าแต่มหาราชเจ้า เพราะเหตุนี้แล เทวดาองค์นั้นจึงกล่าวว่า ผู้ที่กล่าวตู่กันด้วยถ้อยคำไม่จริง แต่ชื่อว่าเป็นที่รักของกันและกัน พระพุทธเจ้าข้า”
ครั้นมโหสถบัณฑิตพยากรณ์เทวปัญหาข้อที่สามจบลง พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงแทงตลอดในปริศนานั้น ท้าวเธอทรงโสมนัสยินดียิ่ง ได้บูชามโหสถบัณฑิตเหมือนครั้งก่อน พร้อมกันนั้นเทวดาซึ่งรอฟังอยู่ ก็ได้เผยกำพูฉัตรออกมา ซ้องสาธุการอีกวาระหนึ่งแล้วก็พลันอันตรธานหายวับไป
พระเจ้าวิเทหราชก็มิได้ทรงรอช้า รีบตรัสถามเทวปัญหาข้อสุดท้ายในทันทีว่า “บุคคลใดนำทรัพย์คือข้าว น้ำ ผ้า และที่นอนของผู้อื่นไป มีแต่จะขนไปฝ่ายเดียว แต่กลับเป็นที่รักของเจ้าทรัพย์ ท่านมีความเห็นว่า บุคคลที่ว่านั้นคือใคร”

“ที่ว่าหมายเอาสมณพราหมณ์นั้นเป็นอย่างไร เธอช่วยขยายความให้กระจ่างสักหน่อยเถอะ” ท้าวเธอตรัสซัก
มโหสถบัณฑิตก็กราบทูลสนองทันทีว่า “ขอเดชะ ธรรมดาสมณพราหมณ์ทั้งหลายเป็นผู้ทรงศีลและประพฤติธรรม ท่านวางศาสตราอาวุธ งดเว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น มีกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมสะอาดบริสุทธิ์ ดำเนินตามมรรคาแห่งพระอริยเจ้า โดยมุ่งหวังอริยภูมิเป็นเป้าหมายสูงสุด
ชนทั้งหลายผู้มีศรัทธา เชื่อในโลกนี้และโลกหน้า มีจิตเลื่อมใสในท่านเหล่านั้น จึงได้พากันมาอุปัฏฐากบำรุงด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคที่เหมาะสม โดยมิได้นึกรังเกียจหรือเบื่อหน่ายแต่อย่างใด

นี่แหละพระพุทธเจ้าข้า เทวดาองค์นั้นจึงกล่าวว่า ผู้นำข้าวและน้ำเป็นต้นไป แต่กลับเป็นที่รักของผู้เป็นเจ้าของ พระพุทธเจ้าข้า”
ในที่สุด การพยากรณ์เทวปัญหาทั้งสี่ข้อก็พลันยุติลง ทันใดนั้นเสียงทิพย์ของเทวดาผู้เป็นผู้ตั้งปัญหา ก็ดังก้องกังวานเป็นคำรบสี่ สนั่นไหวไปทั่วท้องพระโรง
จากนั้นเทวดาก็ได้โปรยรัตนะ ๗ ประการออกจากผอบ ให้มาตกลงแทบเท้าของมโหสถบัณฑิตเพื่อเป็นเครื่องสักการะบูชา

ท้าวเธอจึงทรงปีติปราโมทย์เป็นล้นพ้น ทรงประทานสาธุการให้มโหสถบัณฑิตด้วยความเลื่อมใส พร้อมกันนั้นยังได้พระราชทานตำแหน่งเสนาบดีให้แก่มโหสถบัณฑิต เพื่อบูชาในในปัญญานุภาพอันยอดยิ่งของพระบรมโพธิสัตว์
จำเดิมแต่นั้นมา มโหสถบัณฑิตก็ปรากฏเกียรติยศยิ่งใหญ่ รุ่งเรืองด้วยทรัพย์และบริวารยิ่งขึ้นไปอีก
การที่มโหสถบัณฑิตผ่านวิกฤตแห่งชีวิตในครั้งนั้นมาได้ ก็เพราะค่าที่ได้ดำรงตนอยู่ในศีลในธรรมเมื่อประสบปัญหาก็ค่อยๆใช้ปัญญาแก้ไขปัญหานั้นให้ผ่านพ้นไป มิได้ตีโพยตีพายโทษว่าทำไมบุญจึงไม่ช่วย
ดังนั้น เมื่อเราประสบปัญหาของชีวิต ก็ควรอยู่ในศีลในธรรม แล้วค่อยๆ แก้ไขปัญหานั้นเป็นเรื่องๆ ไป ด้วยปัญญาอันชาญฉลาด ทำได้อย่างนี้ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ส่วนมโหสถบัณฑิตเมื่อได้ยศศักดิ์ยิ่งใหญ่แล้ว จะใช้ยศศักดิ์นั้นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)