มโหสถบัณฑิตจึงกราบทูลว่า “แก้วมณีอันเป็นมงคล มี ๘ เกลียว ซึ่งท้าวสักกเทวราชประทานแด่พระเจ้ากุสราชไว้นั้น บัดนี้แก้วดวงนั้นได้ตกไปอยู่ในครอบครองของอาจารย์เทวินทะเสียแล้ว”
ท้าวเธอครั้นได้สอบสวนแล้วก็ทรงทราบว่าเป็นความจริงทุกประการ จึงมีรับสั่งให้เหล่าราชบุรุษนำตัวอาจารย์เทวินทะไปขังไว้ในจำอีกคน ลำดับนั้น ท้าวเธอจึงตรัสกับมโหสถด้วยพระสุรเสียงอ่อนโยนว่า “เธอปรารถนาจะกล่าวสิ่งใดอีก ก็เชิญกล่าวมาเถิด”

พระเจ้าวิเทหราชได้สดับความทั้งหมดก็ทรงเข้าพระทัยเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่วายที่จะตรัสซักต่อว่า “พ่อบัณฑิต ก็ความลับนั้นไม่อาจเปิดเผยแก่ใครได้เลยหรือ”
มโหสถบัณฑิตกราบทูลว่า “จะเปิดเผยก็ได้พระพุทธเจ้าข้า แต่ต้องเลือกบุคคลที่จะเปิดเผยให้ถ่องแท้ หากว่าบุคคลนั้น
เป็นสตรีผู้มีใจคอไม่หนักแน่น ๑
เป็นผู้ที่ไม่ใช่มิตร ๑
เป็นผู้ฝักใฝ่ในอามิส คือมีความโลภในทรัพย์ ๑
เป็นผู้ที่มิใช่มิตรแต่ทำทีว่าเป็นมิตรด้วยแฝงความต้องการบางอย่าง ๑
บุคคลเหล่านี้ บัณฑิตต้องเว้นเสียเด็ดขาด ไม่ควรจะวางใจเลย พระพุทธเจ้าข้า”
“เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า” มโหสถบัณฑิตกราบทูลสนอง
“ข้อที่เป็นความลับนั้น ยิ่งมีผู้ล่วงรู้มากเท่าใด ความสะดุ้งหวาดเสียวก็ย่อมมีแก่ผู้เป็นเจ้าของความลับมากเท่านั้น
อีกประการหนึ่ง แม้นบุคคลที่น่าเชื่อว่าเป็นผู้ที่ควรเปิดเผยความลับให้รู้ได้ แต่ก็มิใช่ว่าจะวางใจได้สนิท ข้อนั้นนับว่าเป็นการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างยิ่ง ด้วยไม่มีผู้ใดกล้าประกันว่า จะสามารถปกปิดความลับนั้นได้ตลอดไป เพราะธรรมดาว่า ฐานะของผู้กุมความลับ ย่อมตกเป็นเหมือนทาสในเรือน ถึงนายทาสจะบริภาษ ดุด่าว่ากล่าว จะทุบตีอย่างไร ก็จำต้องยอมทน
ท้าวเธอยังมีข้อที่ทรงสงสัยอยู่ จึงได้ตรัสถามต่อไปว่า “แต่ความลับบางอย่าง หาใช่ความลับของผู้ใดผู้หนึ่งเพียงผู้เดียว แต่เป็นความลับร่วมกัน ต่างคนต่างก็มีส่วนได้ส่วนเสียเท่าๆ กัน ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องร่วมกันคิดอ่าน แล้วอย่างนี้จะพึงปฏิบัติเช่นไรจึงจะควรล่ะ พ่อบัณฑิต”
มโหสถบัณฑิตก็ทูลสนองทันทีว่า “ไม่ยากเลยพระพุทธเจ้าข้า หากจะต้องปรึกษาหารือกันก็อย่าให้พร่ำเพรื่อจนเกินไป และจำเป็นต้องเลือกเวลาและสถานที่อันควร คือเมื่อจะพูดความลับกันในตอนกลางวัน ก็ต้องหาที่สงัดปลอดคน มั่นใจได้ว่าเป็นที่ปกปิดมิดชิดจริงๆ
พระเจ้าวิเทหราชทรงสดับถ้อยแถลงของมโหสถโดยตลอดแล้ว ความสงสัยของพระองค์ในเรื่องที่เกี่ยวกับความลับนั้นก็เป็นอันสิ้นสุด ท้าวเธอทรงเข้าใจแจ่มแจ้งทะลุปรุโปร่งในทุกข้อปัญหา และยังทรงเห็นชัดด้วยพระองค์เองว่า “มโหสถบัณฑิตผู้ที่ก่อนหน้านี้ได้ถูกอาจารย์ทั้ง ๔ กล่าวหาว่าเป็นกบฏคิดทรยศต่อพระองค์ แต่แท้ที่จริงกลับเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากมลทินใดๆ ในขณะที่อาจารย์ทั้ง ๔ กลับเป็นฝ่ายผิดเสียเอง และเป็นความผิดร้ายแรงที่ไม่น่าให้อภัยเสียด้วย”
ขณะที่ทรงย้อนระลึกถึงคำเพ็ดทูลของอาจารย์เหล่านั้นอยู่นั่นเอง ท้าวเธอก็ยิ่งทรงพิโรธหนัก ในที่สุดพระองค์จึงตัดสินพระทัย เรียกคณะราชมัลมาเข้าเฝ้าเป็นการด่วน
ครั้นแล้วจึงมีพระดำรัสสั่งว่า “พวกท่านจงอย่ารอช้า รีบนำตัวอาจารย์ทั้ง ๔ ออกจากเรือนจำ แล้วคุมตัวออกไปนอกเมือง จับพวกมันให้นอนหงาย เสียบด้วยหลาวเหล็ก แล้วตัดหัวเสียในที่นั้นเถิด”

ครั้นถึงทาง ๔ แพร่ง ตัวแทนคณะราชมัลก็ตะโกนป่าวร้องประจานความผิดให้มหาชนได้รู้ทั่วกัน เพื่อชาวพระนครที่ได้เห็นแล้ว จะได้ไม่ถือเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
นี่คือโทษที่เกิดจากการคิดประทุษร้ายต่อบุคคลผู้มีพระคุณ เมื่อผลกรรมตอบสนอง พวกเขาก็ย่อมต้องได้รับโทษทัณฑ์พอเหมาะพอสมแก่กรรมที่ตนได้ทำไว้ ยิ่งพวกราชมัลนำพวกเขาเข้าใกล้ตะแลงแกงมากเข้าไปเท่าไร ชีวิตของพวกเขาก็สั้นลงทุกที
เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะช่วยพวกเขาให้รอดชีวิตได้ เพราะคำสั่งของพระราชาผู้สมบูรณ์ด้วยพระราชอำนาจ ถือเป็นคำสั่งสูงสุดที่ไม่มีผู้ใดสามารถคัดค้านได้ ชะตาชีวิตของบัณฑิตทั้ง ๔ บัดนี้เห็นทีคงจะสิ้นเสียแล้ว เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)