จากตอนที่แล้ว พราหมณ์เกวัฏ ออกอุบายคิดที่จะตัดเชื้อเพลิงโดยห้ามมิให้ใครนำฟืนเข้าเมืองอย่างเด็ดขาด แต่พอรุ่งขึ้นพระเจ้าจุลนีทอดพระเนตรเห็นกองฟืนมหึมาสูงพ้นกำแพงเมือง ผู้สืบราชการลับของมโหสถจึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้ยินมาว่า มโหสถบัณฑิตเป็นผู้มองการณ์ไกล จึงให้คนขนฟืนมากองเก็บไว้ที่หลังเรือนของคนมีตระกูลทั่วพระนคร ส่วนฟืนที่กองไว้ริมกำแพงเมืองนั้น เป็นฟืนที่เหลือใช้ พระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าจุลนีได้สดับดังนั้น สีพระพักตร์หม่นหมอง มีความหวั่นวิตกและทดท้อพระทัย จึงตรัสว่า “การศึกที่ยืดเยื้อเช่นนี้ ช่างน่าเบื่อหน่ายเสียจริง นี่ขืนเรายังเดินหน้าต่อไป มีหวังทัพปัญจาลนครคงเป็นฝ่ายอดตายกันพอดี ไม่เอาล่ะ เราจักกลับเมืองของเราดีกว่า”

พระเจ้าจุลนีสดับคำทูลนั้นแล้ว ก็ตรัสด้วยความกังวลพระหฤทัยว่า “ก็เราจะทำอย่างไรได้เล่า ท่านอาจารย์ เพราะมโหสถได้เตรียมการป้องกันบ้านเมืองไว้อย่างเข้มแข็งถึงเพียงนี้ ไม่ว่าเราจะโจมตีด้วยวิธีใดๆ ก็ยังไม่เป็นผล”
พราหมณ์เกวัฏนั้น จึงกราบทูลว่า “ขอเดชะ อุบายที่จะโจมตีมิถิลานครของข้าพระองค์นั้นยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ ข้าพระพุทธเจ้าคิดจักกระทำเลศอย่างหนึ่ง ที่สามารถเอาชนะมโหสถและยึดเมืองมิถิลานครมาให้ได้”
พระเจ้าจุลนีได้สดับน้ำเสียงจริงจังของพราหมณ์เกวัฏ ก็ยิ่งทรงสนพระทัย รับสั่งถามว่า “เลศอะไรกันท่านอาจารย์ เราฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจ ขอท่านจงอธิบายสักหน่อยเถิด”
“อย่างไรนะท่านอาจารย์ ธรรมยุทธ์ ชื่อฟังดูเข้าทีทีเดียว” ท้าวเธอตรัสซัก
พราหมณ์เกวัฏจึงกราบทูลชี้แจงว่า “ขอเดชะ ธรรมยุทธ์เป็นวิธีรบที่มีมาแต่โบราณ พระพุทธเจ้าข้า เมื่อใดที่นักปราชญ์ผู้ฉลาดในทางสงคราม เล็งเห็นว่า ศึกสงครามครั้งนี้คงไม่มีทางยุติลงได้ง่ายๆ ฉะนั้นหากขืนปล่อยให้ยืดเยื้อต่อไป ก็จะเป็นเหตุคร่าชีวิตผู้คนไปอีกมากมายก่ายกอง ทั้งสิ้นเปลืองศาสตราวุธยุทโธปกรณ์เสียเปล่า”
“ก็ในเมื่อฝ่ายหนึ่งยังไม่ยอมยกธงขาว ขณะที่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมล่าทัพกลับไป สงครามนั้นจะยุติได้อย่างไรล่ะ” พระองค์ทรงตรัสถามด้วยความสงสัย

ท้าวเธอทรงปรารถนาจะได้สดับคำยืนยันจากปากของพราหมณ์เกวัฏจึงตรัสถามว่า “อืมม...แล้วท่านอาจารย์จะมั่นใจได้อย่างไรล่ะว่า เราจะเป็นฝ่ายชนะแน่”
พราหมณ์เกวัฏจึงทูลรับสนองว่า “ขอพระองค์ทรงเชื่อมั่นในข้าพระองค์เถิดพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นผู้อาวุโสกว่า ได้พบได้เห็นความเป็นไปของโลกมามากต่อมาก แต่มโหสถนั่นยังหนุ่มแน่น ผ่านโลกมาน้อย ถึงอย่างไรก็คงไม่อาจรู้ทันความคิดอันนี้อย่างแน่นอน ที่สำคัญคือในเวลาที่ต้องพบกันตัวต่อตัว มโหสถเห็นข้าพเจ้าแล้ว ถึงอย่างไรก็จักต้องแสดงความเคารพต่อข้าพระองค์ผู้อาวุโสกว่า

พระเจ้าจุลนีทรงเป็นกษัตริย์ที่มีขัตติยมานะสูงส่ง ทะนงในศักดิ์ของพระองค์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นเมื่อทรงเห็นว่าอุบายใดอาจมีช่องทางให้สำเร็จ ท้าวเธอก็ทรงปรารถนาจะทำทุกวิธีทาง โดยเฉพาะเลศธรรมยุทธ์ของพราหมณ์เกวัฏที่มิต้องสูญเสียชีวิตผู้คนและศาสตราอาวุธ ไฉนเลยพระองค์จึงจะไม่ทรงพอพระทัย
“เข้าที ท่านอาจารย์ อุบายนี้ช่างแยบคายนัก” ท้าวเธอทรงตรัสชื่นชมด้วยพระหฤทัยยินดี ดำรัสแล้วก็มีพระบรมราชโองการตรัสให้เขียนพระราชสาส์นส่งไปถวายแด่พระเจ้าวิเทหราชว่า “ทูลพระราชาวิเทหราช เราเป็น
ผู้พิชิตแล้วตลอดแดนชมพูทวีป พร้อมด้วยพระราชาร้อยเอ็ดพระองค์ ยกทัพมาล้อมเมืองมิถิลาไว้ ณ บัดนี้ ด้วยมีความมุ่งหมายจะรวบรวมอาณาบริเวณแห่งทวีปเข้าเป็นปึกแผ่น ดำรงให้สถาพรแห่งอาณาบัญญัติเสมอกัน มิให้แตกต่างกัน

หากแต่พระองค์มิได้เห็นความสถาพรอันนั้น เราจักจู่โจมด้วยกำลังพล ก็คิดสังเวชว่าไพร่พลของแต่ละฝ่ายจะต้องล้มตายเกลื่อนกลาด อีกทั้งบ้านเมืองก็จักพังพินาศไปด้วย ดังนั้นแล้วจึงคิดหาแนวทางปราศจากความโหดร้ายทารุณ จากการเสียเลือดเสียเนื้อและชีวิต ก็คือการทำธรรมยุทธ์
เพราะฉะนั้น ในวันพรุ่งนี้ ธรรมยุทธ์จักเกิดมีแก่บัณฑิตของปัญจาละกับบัณฑิตของมิถิลา ทั้งสองจักมาพบกัน ความมีชัยหรือความปราชัย จักมีโดยธรรมระหว่างบัณฑิตทั้งสอง ถ้าพระองค์ไม่ทรงกระทำธรรมยุทธ์ ก็เป็นอันว่าทรงพร้อมที่จะยอมปราชัย”
พระราชสาส์นนี้ได้ส่งไปโดยทูตประจำกองทัพ เข้าสู่ทางประตูน้อยของพระนครมิถิลา อุบายของพราหมณ์เกวัฏนั้น ถือว่ามีการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมทีเดียว ถ้าหากพระเจ้าวิเทหราชไม่ทรงกระทำธรรมยุทธ์ก็จะปราชัย แต่ถ้ารับคำแล้ว วัยวุฒิของมโหสถบัณฑิตก็จะเป็นรองพราหมณ์เกวัฏ มโหสถบัณฑิตจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)