
ทศชาติชาดก
เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 4
จากตอนที่แล้ว ท้าวสักกเทวราชเกิดร้อนพระทัย ด้วยเดชแห่งศีลและการตั้งสัจจอธิษฐาน ของพระนางเจ้าจันทาเทวี จึงทรงตรวจดูด้วยทิพยเนตร ก็ทราบเหตุว่าพระนางตั้งความปรารถนาพระโอรส จึงทรงสำรวจดูในสวรรค์ว่า มีเทพบุตรองค์ใดที่มีบุญญาธิการเหมาะสม เพื่อที่จะอัญเชิญไปเกิดในพระครรภ์ของพระนางได้บ้าง

ในเวลาที่เทพบุตรเข้าสู่พระครรภ์นั้นพระนางเจ้าจันทาเทวีมีความรู้สึกประหนึ่งว่าพระครรภ์เต็มไปด้วยแก้วใส ก็ทรงแน่พระทัยว่าได้ตั้งพระครรภ์แล้ว รุ่งเช้าจึงเสด็จไปกราบทูลให้พระราชสวามีทรงทราบ เมื่อพระราชาทรงทราบก็ทรงปลื้มพระหฤทัยยิ่งนัก ได้ทรงพระราชทานเครื่องบริหารพระครรภ์แก่พระนาง

ครั้นพระราชาทรงทราบว่า มีกุมารกำเนิดพร้อมกันกับพระโอรสของพระองค์ก็ทรงโสมนัสยิ่งนัก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้จัดทำเครื่องประดับสำหรับกุมารของเหล่าอำมาตย์ทั้ง 500 คน พร้อมกับพระราชทานแม่นม 500 นาง ให้เลี้ยงดูกุมารเหล่านั้นด้วย แต่สำหรับพระราชกุมารนั้น พระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดให้คัดเลือกแม่นมเป็นพิเศษพระราชทานแด่พระกุมารจำนวนถึง 64 นาง โดยแต่ละนางล้วนถึงพร้อมด้วยคุณลักษณะที่ดี และจะต้องปราศจากลักษณะอันเป็นโทษ 10 ประการคือ
ข้อ 1. หญิงนั้นต้องไม่มีผิวขาวจนเกินไป ด้วยเกรงว่าน้ำนมจะมีรสเปรี้ยว
ข้อ 2. หญิงนั้นต้องผิวไม่ดำจนเกินไป ด้วยเกรงว่าจะมีน้ำนมที่เย็นจัด
ข้อ 3. ไม่ผอมแห้งบอบบาง เพราะขณะที่พระกุมารนอนบนตัก หรือนอนแนบอกดื่มน้ำนม กระดูกอาจทิ่มตำพระกุมารได้
ข้อ 4. ไม่อ้วนจนเกินไป เพราะจะทำให้พระกุมารพลอยอ้วนตามไปด้วย
ข้อ 5. ไม่สูงเกินไป เพราะเมื่อนั่งดื่มน้ำนม พระกุมารก็จะต้องยืดจนคอยาว
ข้อ 6. ไม่เตี้ยเกินไปนัก เพราะเมื่อนั่งดื่มน้ำนม พระกุมารจะต้องหดคอ พลอยต่ำเตี้ยไปด้วย
ข้อ 7. น้ำนมต้องรสไม่จืด เค็มหรือเปรี้ยวเกินไป ให้คัดสรรเฉพาะนางที่มีน้ำนมรสหวานกลมกล่อมเท่านั้น
ข้อ 8. ต้องมีถันไม่หย่อนยาน ให้คัดสรรเฉพาะแม่นมที่มีเต้านมเปล่งปลั่งเพื่อจะได้มีน้ำนมที่ดี
ข้อ 9.หญิงนั้นต้องไม่เป็นโรคหืดหอบ อันจะส่งผลให้น้ำนมไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร
และข้อ 10. หญิงนั้นต้องไม่เป็นโรคไอเรื้อรัง เพราะรสของน้ำนมจะเผ็ดเกินไป จะพลอยให้พระกุมารจะพลอยขี้โรคไปด้วย

พระราชาได้สดับคำพยากรณ์เหล่านั้น ก็ทรงยินดีเป็นล้นพ้น เพราะบัดนี้ความประสงค์ของพระองค์ที่ปรารถนาจะได้องค์รัชทายาทสืบราชสมบัติต่อไปในภายภาคหน้า ก็สำเร็จดังมโนรถของพระองค์แล้ว จึงพระราชทานพระนามแด่พระกุมารนั้นว่า พระเตมิยกุมาร (เต มิ ยะ) ทั้งนี้ทรงถือเอานิมิตหมายแห่งพระประสูติกาล ด้วยทรงดำริว่า ในวันที่พระกุมารประสูตินั้น ฝนตกโปรยปรายทั่วพระนคร นำความเย็นชุ่มฉ่ำมาสู่คนและสัตว์ ทั้งไพร่ฟ้าประชาราษฏร์แห่งกาสิกรัฐต่างก็ชุ่มฉ่ำทั้งกายและใจ แม้พืชพันธุ์ธัญญาหารก็พลอยได้รับความชุ่มชื่นกันไปทั่ว ก็ด้วยอาศัยพระบารมีของพระราชกุมารนั่นเอง

เมื่อพระราชกุมารมีพระชนมายุได้ 1 เดือน เหล่าพี่เลี้ยงนางนมก็ช่วยกันตกแต่งพระกายของพระราชกุมาร แล้วอัญเชิญขึ้นเฝ้าพระราชบิดา ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จออกว่าราชการอยู่ภายในท้องพระโรงมหาวินิจฉัย เวลานั้น ท้องพระโรงแน่นขนัดไปด้วยเหล่าข้าราชบริพารนับพัน พระเจ้ากาสิกราชผู้เป็นราชาธิราช ทรงประทับอยู่เหนือพระบัลลังก์ทอง เพื่อทรงวินิจฉัยอรรถคดีต่างๆ ทรงแวดล้อมด้วยพราหมณ์ปุโรหิตและเหล่าอำมาตย์เป็นทิวแถวอยู่เบื้องหลังพระบัลลังก์ทอง ไล่เรียงตามมาด้วยเหล่าแม่ทัพนายกอง และราชบุรุษกองรักษาพระองค์
ฝ่ายพระเจ้ากาสิกราช เพียงได้ทอดพระเนตรเห็นพระราชกุมารผู้เป็นที่รักยิ่ง ก็ทรงดีพระหฤทัย รีบตรงเข้าไปรับเอาพระกุมารมาจากมือของพี่เลี้ยงนางนม แล้วทรงอุ้มพระกุมารให้ประทับนั่งบนตัก พระองค์ทรงรื่นรมย์อยู่กับพระกุมารครู่หนึ่ง จากนั้นจึงทรงโปรดให้มหาอำมาตย์เบิกคดีสำคัญต่อไป

โดยให้โบยโจรคนหนึ่งด้วยหวายหนามแช่น้ำเกลือ 1 พันครั้ง เพียงโบยไม่ถึง 100 ครั้ง เขาก็สิ้นชีวิตอยู่ตรงนั้น
โจรอีกคนหนึ่งให้ราชบุรุษจองจำไว้กับขื่อคาโซตรวน แล้วส่งเข้าเรือนจำ ให้ตายอยู่ในเรือนจำ
โจรอีกคนหนึ่งก็ให้นำไปประหาร โดยให้แทงด้วยคมหอก
ส่วนโจรคนสุดท้ายนั้น กระทำทารุณกรรมไว้มาก จึงทรงลงโทษอย่างอุกฤษฏ์ โดยให้เสียบด้วยหลาวทั้งเป็นแล้วนำไปเสียบประจานไว้หน้าประตูเมือง




พระเตมิยกุมารผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการ สั่งสมปัญญาบารมีมาดีแล้วเมื่อได้สดับคำตัดสินลงทัณฑ์ของพระราชบิดา ก็ทรงหวาดสะดุ้งในพระสุรเสียงอันกึกก้อง บังเกิดความสลดหดหู่พระหฤทัยยิ่งนัก จึงทรงดำริขึ้นว่า โอ พระราชบิดาของเรา ทำบาปกรรมใหญ่หลวงนัก คงไม่พ้นจากการเสวยทุกข์ในนรกเพราะเหตุแห่งราชสมบัตินี้อย่างแน่นอน
โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)