
ทศชาติชาดก
เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 11
จากตอนที่แล้ว พระโพธิสัตว์ถูกประเล้าประโลมด้วยเหล่าสาวงามนักฟ้อนรำ แต่พระองค์กับพิจารณาว่า เป็นเพียงเนื้อเลือดกระดูกหนังที่ประกอบกันเป็นโครงขึ้น มีความสวยงามแต่เพียงภายนอก จึงทรงตั้งสัจจาธิษฐานว่า “ขออานุภาพแห่งบุญบารมีที่ข้าพเจ้าสั่งสมมาดีแล้วนับภพชาตินับชาติมิถ้วน จงบันดาลให้หญิงเหล่านี้ อย่าได้แตะต้องสรีระของข้าพเจ้าเลย”
อธิษฐานเสร็จแล้ว ก็ทรงกลั้นลมหายใจ ทันใดนั้นพระสรีระของพระโพธิสัตว์ก็กลับแข็งกระด้างขึ้น หญิงงามทั้งหลายเห็นดังนั้น ก็เกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะแตะต้องพระสรีระของพระองค์ พากันคิดว่า “พระราชกุมารนี้ เห็นทีคงจะเป็นยักษ์จำแลงมาเป็นแน่” จึงพากันวิ่งหนีพระราชกุมารไปด้วยความตื่นกลัว
พระเจ้ากาสิกราชทรงทดลองมาตลอดระยะเวลายาวนาน เมื่อไม่เห็นทางว่าจะสำเร็จได้ จึงทรงโทมนัสยิ่งนัก และยิ่งทรงนึกถึงคำทำนายของโหราจารย์ว่า พระราชกุมารจะได้ครองความเป็นใหญ่เหนือทวีปทั้งสี่ ก็ให้ยิ่งทรงขัดเคืองพระหฤทัย จึงทรงรับสั่งให้เรียกตัวพราหมณ์ปุโรหิตเหล่านั้นมาเข้าเฝ้า แล้วตรัสถามว่า “เหตุใดเตมิยกุมารลูกเรา จึงมิได้เป็นไปตามคำทำนายของท่าน พวกท่านพากันทำนายส่งเดชไปกระนั้นหรือ”เหล่าโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ต่างก็นิ่งอึ้งไป เพราะที่พวกตนได้ถวายคำพยากรณ์นั้น ก็เป็นไปตามตำราที่ได้ร่ำเรียนมา มิได้มีประสงค์อย่างอื่น แต่เมื่อไม่เป็นไปตามตำราก็สุดวิสัยที่จะรู้ได้ ในที่สุด โหราจารย์คนหนึ่งผู้มีปฏิภาณว่องไว จึงได้กราบทูลเพื่อเอาตัวรอดว่า พระราชกุมารนี้เป็นกาลกิณี ที่พวกข้าพระองค์ไม่กราบทูลเสียแต่แรกเพราะกลัวพระองค์จะเสียพระทัย...แต่มาบัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขจัดพระราชกุมาร เพราะถ้าพระองค์ยังทรงเลี้ยงพระราชกุมารไว้ต่อไป ไม่ช้าประเทศชาติก็จะเกิดอาเพศ อันตรายอย่างใหญ่หลวงจะบังเกิดขึ้นต่อพระชนม์ชีพของพระองค์เอง รวมถึงพระราชบัลลังก์และพระอัครมเหสี หากพระองค์ยังทรงลังเลพระหฤทัย ไม่ทรงรีบกำจัดพระราชกุมารเสียโดยไว ก็จะไม่ทันการณ์ พระเจ้าข้า”
ความกลัวไม่ว่าจะกลัวในรูปแบบใดก็ตาม ย่อมเป็นเหตุให้คนเราทำความผิดได้ทุกอย่าง แม้จะต้องเสียสัจจะก็ตาม โหราจารย์ก็เช่นกัน แม้ในตอนแรก จะยังคงยืนยันในคำพยากรณ์ของตน แต่ครั้นเกิดเหตุการณ์คับขันเข้า ก็เกรงว่าพวกตนจะต้องพระราชอาญา จึงจงใจกล่าวเท็จต่อพระราชาทั้งๆที่รู้ ซึ่งนอกจากจะถือว่าเสียสัจจะต่อตนเองแล้ว ยังแสดงให้เห็นว่า ขาดความจงรักภักดีต่อเจ้าเหนือหัวของตน และที่สำคัญยังเป็นการทำบาปกรรมไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคงไม่แคล้วที่จะต้องพลัดไปสู่อบาย
ฝ่ายพระราชา ครั้นทรงสดับคำทูลของโหราจารย์นั้นแล้ว ก็ให้ทรงหวาดหวั่นต่อภยันตรายที่จะบังเกิดขึ้นยิ่งนัก จึงรีบตรัสถามว่า “ถ้าเช่นนั้น เราควรทำอย่างไรกันดีละ ท่านอาจารย์”โหราจารย์เห็นว่า บัดนี้พระราชาทรงเชื่อถือถ้อยคำของตนแล้วโดยไม่ต้องสงสัย จึงดำริในใจว่า “พวกเราเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ก็เพราะอาศัยพระราชกุมารนี่แหละ เป็นต้นเหตุสำคัญ หากไม่มีพระกุมารเสียแล้ว พวกเราก็คงไม่ต้องประสบกับความลำบากเช่นนี้”




โหราจารย์เห็นพระองค์ทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงชำเลืองสายตาดูพระพักตร์พระราชาของตนซึ่งส่อเค้าว่าทรงเสียพระหฤทัยยิ่งนัก จนสังเกตเห็นได้ชัดว่าพระพักตร์ของพระองค์หมองเศร้า และดวงพระเนตรก็แดงก่ำไปในทันที


ส่วนโหราจารย์และเสนาบดีที่เหลือ ต่างก็มาปรึกษาหารือกัน เพื่อดำเนินการตามรับสั่งของพระราชาให้สำเร็จโดยเร็ว ทันทีที่พระนางจันทาเทวีได้ทรงสดับเรื่องนั้น ก็ทรงตกพระทัยจนแทบสิ้นสติ รีบเสด็จขึ้นสู่พระมหาปราสาท เข้าเฝ้าพระสวามีแต่เพียงพระองค์เดียว ถวายบังคมแล้วจึงกราบทูลทั้งน้ำตาว่า “ข้าแต่ฝ่าพระบาท ขอทรงโปรดยับยั้งเรื่องนั้นไว้ก่อนเถิดเพคะ”


โดย : หลวงพ่อธัมมชโย (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)