
น.พ.สุพล มโนรมณ์ รองผู้อำนวยการด้านบริหารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีบำบัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยว่า
ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ศึกษาวิจัยผู้ป่วยมะเร็งตับในคนไทยด้วยการนำสารสกัด Proteoglycan ซึ่งสามารถกระตุ้นภูมิต้านทานของร่างกายโดยการรับประทาน ทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ไม่มีผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ยาฉีด ส่วนใหญ่ที่ใช้รักษามะเร็งในปัจจุบัน
การศึกษาวิจัย โดยสุ่มคัดกรองตัวอย่างผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะสุดท้ายที่เป็นคนไทย จำนวน 44 คน ซึ่งเป็นผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดหรือรักษาด้วยเคมีบำบัด ใช้ระยะเวลานาน 3 ปี แบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่รับประทานสารสกัด Proteoglycan จำนวน 34 คน และกลุ่มที่รักษาปกติ หรือประคับประคอง จำนวน 10 คน ในกลุ่มผู้ที่ได้รับประทานจะได้รับสารสกัด Proteoglycan วันละ 6 กรัม
การวิจัยครั้งนี้เพื่อตรวจหาปริมาณสารอินเตอร์ลิวคีน 12 (IL12) และสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้ประสิทธิภาพภูมิต้านทานของร่างกาย รวมทั้งประเมินคุณภาพชีวิตผู้ป่วยในเดือนที่ 1, 3 และเดือนที่ 6
ผลการวิจัยสรุปว่า กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาแบบประคับประคองเสียชีวิตทั้งหมดในเวลาเฉลี่ย 3.5 เดือนและกลุ่มที่รับประทานสารสกัด Proteoglycan ยังมีชีวิตอยู่สูงถึง 73% ทำให้การมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ผลการตรวจพบว่าระดับสารอินเตอร์ลิวคีน 12 (IL12) และสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมาเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่าระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลของสารสกัด Proteoglycan จึงสามารถใช้เป็นตัวกระตุ้นภูมิต้านทานด้วยการรับประทานได้
น.พ.สุพลกล่าวอีกว่า การรักษามะเร็งในทางการแพทย์ปัจจุบันมีการพัฒนายาใหม่มาตลอดเวลา มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลการรักษาของยาช่วยให้โอกาสของผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอดมากขึ้น ดังนั้น การพัฒนาคิดค้นวิจัยการป้องกันการรักษาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งยังจำเป็นที่ต้องร่วมมือกันกับหน่วยงานต่างๆ เนื่องจากแนวโน้มประชาชนป่วยเป็นโรคมะเร็งในทั่วโลกยังเพิ่มสูงขึ้นเป็นลำดับ
จากสถิติเมื่อปี 2543 มีผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 22.4 ล้านคน เป็นผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 10.1 ล้านคน และเสียชีวิตปีละ 6.2 ล้านคน อีกทั้งในสถิติดังกล่าว 60% ของผู้ป่วยเป็นประชาชนอยู่ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และในปี 2563 องค์การอนามัยโลกคาดการณ์ว่ามีผู้ป่วยมะเร็งถึง 30 ล้านคน ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรายใหม่ 15.7 ล้านคน และจะมีผู้ป่วยมะเร็งเสียชีวิตปีละ 10 ล้านคนทั่วโลก
