จากการสัมมนา
“การเสริมสร้างความรู้และทักษะการเป็นผู้ปกครองของเด็กที่มีความสามารถพิเศษระดับสูง”
เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์
ประธานโครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้ที่มีความสามารถพิเศษ (ฝ่าย
Gifted) ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) กล่าวว่า
ปัจจุบันประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่ปีละประมาณ 800,000-1,000,000
คนซึ่งจากงานวิจัยประมาณการได้ว่าจะมีเด็กอัจฉริยะเกิดขึ้นปีละประมาณ
8,000- 10,000 คน แต่ประเทศไทยไม่ค่อยสนใจเด็กกลุ่มนี้มากนัก
จึงทำให้เด็กอัจฉริยะไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
และบางคนยังถูกบั่นทอนด้วยระบบการศึกษาโดยที่ครูก็ไม่รู้
และครูบางคนยังคิดว่าเด็กที่มีความอัจฉริยะเป็นคนอวดเก่ง
หรือเป็นเด็กผิดปกติ เนื่องจากจะซนไม่อยู่นิ่ง บางคนมีอารมณ์ก้าวร้าว
โมโหร้าย และมักถูกส่งตัวไปให้แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นออทิสติกบ้าง
สมาธิสั้นบ้าง บางคนก็ถูกตีตราว่าเป็นเด็กปัญญาอ่อนและถูกส่งเข้า
รร.สอนเด็กปัญญาอ่อน ซึ่งล้วนเป็นการทำลายเด็กอัจฉริยะไปอย่างน่าเสียดาย ผศ.ดร.อุษณีย์ กล่าวต่อไปว่า คนในสังคมมักมองว่าการมีลูกปัญญาเลิศเป็นโชคดีของพ่อแม่ และเด็กกลุ่มนี้ไม่น่ามีปัญหา ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดแทบทั้งสิ้น เพราะเด็กกลุ่มนี้เป็นเด็กที่น่าสงสาร ไม่ค่อยมีคนเข้าใจในสติปัญญาและอารมณ์ความรู้สึกของเขา เพราะเด็กปัญญาเลิศจะเรียนรู้เร็วมากจนพ่อแม่และครูตามไม่ทัน เนื่องจากเด็กกลุ่มนี้จะมีโครงสร้างสมองที่ซับซ้อน แต่ที่ผ่านมาจะมีข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่าเด็กที่เรียนเก่งหรือปัญญาเลิศมักหาทางออกในชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ตนจึงอยากให้ครอบครัวมีความเข้าใจ ให้ความรักความอบอุ่น และฝึกลูกมาก ๆ ตั้งแต่เรื่องวินัย กติกาและต้องสอนให้รู้จักควบคุมตัวเองช่วยเหลือตัวเองได้ และที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ลูก ส่วนครูก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเด็กปัญญาเลิศไม่ใช่ตั้งป้อมทำลายเด็ก เพราะจะทำให้เด็กไม่อยากไปโรงเรียน ก้าวร้าว หงุดหงิดง่าย และต่อต้าน
นางองค์ เรืองฐานุศักดิ์ ตัวแทนผู้ปกครอง กล่าวว่า ตนมีลูกชายเป็นเด็กซนมากแต่ช่างคิดช่างทดลอง แค่อายุ 4 ขวบอยู่อนุบาลก็ทำวงจรไฟฟ้าได้แล้ว ซึ่งตนเคยพาลูกไปพบแพทย์และวินิจฉัยว่าสมาธิสั้น ให้ยามากิน 4 เดือน เพื่อให้อยู่นิ่ง ตนสงสารลูกมากจึงหยุดยาและหันมาทำความเข้าใจตัวลูกจึงเข้าใจและ
พยายามส่งเสริมความเป็นอัจฉริยะของลูก
จนทุกวันนี้ลูกเรียนรู้ได้ตลอดเวลาและมีคำถามที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ
จนพ่อแม่ตอบแทบไม่ได้แล้ว.
ที่มา-







