ไอ้อ้วนไอ้เตี้ย ไอ้ดำ ไอ้โย่ง หมูตอน เหยิน ไอ้แว่น หยิก
ใครจะคาดว่าคิดว่าคำแสนจะธรรมดาเหล่านี้
เป็นชนวนเหตุแห่งความรุนแรง สร้างอันธพาลเด็ก
จากข้อมูลการสำรวจสถานการณ์ความรุนแรงในโรงเรียนของ
ผศ.ดร.สมบัติ ตาปัญญา อ.ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ 
คณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ (มช.)
 
 
 ที่เก็บข้อมูลจากแบบสอบถามจากครู1,300 คนและนร.ชั้นป.4-ม.2 จำนวน3,047 คน
ในกทม. นนทบุรี ลพบุรี ชลบุรี จันทบุรี ขอนแก่น สงขลา และเชียงใหม่ เดือน ก.พ.- มี.ค.2549 
พบว่านร.40 % เคยถูกรังแกเดือนละ 2-3 ครั้งเป็นการล้อเลียนให้อับอาย 
เหยียดหยามดูถูกเชื้อชาติหรือผิวพรรณ 
เกิดขึ้นในห้องเรียนเวลาที่ครูไม่อยู่ เกิดขึ้นมากสุดในชั้นป.4 และลดลงเรื่อยๆตามระดับชั้นที่สูงขึ้น
สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือคำล้อเลียนในหมู่เด็กเหล่านี้ถูกเพิกเฉยจากครูพ่อแม่ และเพื่อน 
โดยครูประจำชั้น 41.2 % ไม่เคยยุติการกระทำ
ผู้ปกครอง75.2 % ไม่ติดต่อกับโรงเรียนเพื่อห้ามและนักเรียนคนอื่นไม่สนใจจะห้าม 20.6 % 
ไม่เพียงเท่านี้การที่ครู 70 % เห็นว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงจำเป็น
เนื่องจากหากไม่ลงโทษด้วยความรุนแรงจะกำหราบเด็กไม่ได้ 
รูปแบบมีทั้งการตีก้นอดอาหารและจับขัง เป็นเสมือนตัวเชื้อที่เร่งปฏิกิริยาให้เกิดการตอบสนอง
ในรูปแบบของความรุนแรง 
เพราะไม่ได้รับการอธิบายชี้แนะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องทำให้ปัจจุบันมีเด็กไทยตกอยู่ในวังวน 
ตบ ตี เตะ ตึ้บ ถึงกว่า 7 แสนคน
บางคนรุนแรงร้ายแรงถึงขั้นลงหน้า 1 หนังสือพิมพ์อย่างกรณี เด็กนักเรียนหญิงตบตีกันในโรงเรียน
แล้วถ่ายคลิปวีดีโอเก็บไว้ 
เพียงแค่ไม่พอใจจากการถูกมองหน้า เป็นต้น 
การที่เด็กถูกคำล้อเลียนเป็นเวลานานแล้วต้องเก็บกดอดทนเอาไว้ 
อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อสภาพอารมณ์ จิตใจ และความคิด
ทำให้เกิดความวิตกกังวล รู้สึกโดดเดี่ยว สูญเสียความภูมิใจในคุณค่าของตนเอง 
เกิดอาการซึมเศร้า มีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น 
และหลังจากที่สั่งสมความแค้นไว้นาน จะระเบิดพฤติกรรมออกมา 
ด้วยการแสดงออกที่ก้าวร้าวรุนแรง 
เช่น ทำร้ายคนอื่นได้ ผศ.ดร.สมบัติกล่าว
ทางออกของปัญหา ผศ.ดร.สมบัติบอกว่าควรรณรงค์ให้ครู ผู้ปกครองและนักเรียน
ตระหนักถึงปัญหาการรังแกกันในโรงเรียน 
และกระตุ้นให้นักเรียนบอกผู้ใหญ่ทุกครั้งที่มีการรังแก ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมป้องกันการรังแกในโรงเรียน 
เพราะเป็นการเตือนผู้กระทำว่าจะถูกลงโทษหรือมีการจับตาเฝ้าระวังอยู่ 
และเป็นการให้กำลังใจแก่ผู้ถูกรังแกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ 
ขณะที่นพ.บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์กล่าวว่า
พฤติกรรมล้อเลียนแก้ไขได้
โดยเมื่อครู หรือ พ่อแม่พบเห็นการล้อเลียน ต้องสลายกลุ่มให้ทั้ง 2 ฝ่ายเป็นเพื่อนกัน
จัดหากิจกรรมทำร่วมกันให้ได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน 
สร้างความเป็นเพื่อน สร้างคุณค่าให้คนที่ถูกล้อในสายตาเพื่อน แต่ต้องระวังไม่ทำให้เกิดความอิจฉา 
จะคลายการล้อเลียนดูถูกลงได้
ส่วนการลงโทษเด็กที่กระทำผิดนพ.บัณฑิต บอกว่ามีความจำเป็นเพราะเป็นวิธีการเติมมโนธรรมให้กับเด็กและเยาวชน  
พร้อมกับการสอนควบคู่ว่าการกระทำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี จะทำให้เด็กสร้างวงจรควบคุมตัวเองว่าถ้าทำไม่ดีจะถูก ลงโทษ 
แต่ไม่ใช่ในรูปแบบทารุณกรรมและไม่ไปตอกย้ำให้เด็กอับอายต่อหน้าเพื่อน หรือ กระทำเพื่อสร้างความสะใจให้กับครู 
หากลงโทษด้วยความรุนแรงหรือมากเกินไป เด็กจะรู้สึกไร้คุณค่า เจ็บปวดกับการไม่มีคนรัก จนต่อต้านสังคม 
ด้านนายวัลลภ ตั้งคณานุรักษ์  ประธานกมธ.วิสามัญรับฟังปัญหาความเดือดร้อนและความคิดเห็นของประชาชน
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 
กล่าวว่า ควรกลับไปใช้ระบบการศึกษาที่มีครูประจำชั้น มีการท่องอาขยาน เรียนวิชาหน้าที่ศีลธรรม แต่ไม่ทิ้งเทคโนโลยี 
จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ความผิดชอบชั่วดีและรู้จักยับยั้งชั่งใจตนเองมากขึ้น
ขณะที่นายสมชาย เจริญอำนวยสุข  รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กเยาวชน 
ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุ(สท.)  
มองว่า เด็กและเยาวชนไทยต้องการความรัก ความเข้าใจและโอกาส ต้องมองย้อนกลับมาที่ตัวผู้ใหญ่ว่า
ปัจจุบันได้ให้ความใส่ใจรับฟัง
และชี้ทางออกที่ถูกต้องให้พวกเขามากแค่ไหน จะช่วยป้องกันภัยความรุนแรงที่อาจเกิดขั้นได้ทันการณ์
และแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด
 
 
 
 
 
ที่มา- 


 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง