เผยผลวิจัย พบสารโพลาร์ อะฟลาท็อกซินส์ ใน เส้นก๋วยเตี๋ยวโดยเฉพาะเส้นใหญ่ ซึ่งเกิดจากการคลุกน้ำมันทอดแล้วผสมใส่กันเส้นไม่ให้ติดกัน ส่งผลอันตรายเสี่ยงเป็นมะเร็งตับ ความดันโลหิตสูง และอาจทำให้ถึงตายได้ เมื่อวันที่ 28 ส.ค. ที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ผศ.ดร.บัณฑิต อินณวงศ์ และ ผศ.ดร.โสภาค สอนไว ภาควิชาเทคโนโลยีอาหาร คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับรศ.ดร.กาญจนา เศรษฐนันท์ ภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหกรรม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และรศ.วีระชัย แก่นทรัพย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ร่วมแถลงข่าว
“งานวิจัยมหันตภัยร้ายแฝงเร้นในก๋วยเตี๋ยว” ซึ่งสนับสนุนโดย สกว.
ผศ.ดร.โสภาค กล่าวว่า ก๋วยเตี๋ยวเป็นอาหารยอดนิยม และจากการที่ทีมวิจัยได้ศึกษาวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเส้นก๋วยเตี๋ยวตั้งแต่ปี 2549-2551 พบว่า เส้นก๋วยเตี๋ยวทั้งหมดมีอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากมีการใช้น้ำมันทอดซ้ำในกรรมวิธีการผลิต ซึ่งจะทำให้เส้นก๋วยเตี๋ยวเหนียวนุ่ม ตัดง่าย โดยเส้นใหญ่พบมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ เส้นเล็ก เส้นก๋วยจั๊บ เส้นหมี่ที่ไม่ใช่เส้นหมี่อบแห้ง ทั้งนี้ เส้นใหญ่จะใช้น้ำมันในปริมาณสูงกว่าเส้นอื่นๆ ร้อยละ 5-8 เพื่อป้องกันการเกาะติดและจะช่วยให้ขยี้ให้แตกเป็นเส้นได้ง่าย แต่การใช้
น้ำมันเก่าที่ผ่านการทอดซ้ำมาหลายๆ ครั้ง หรือนำมาผสมกับน้ำมันพืชใหม่ จำพวกน้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วลิสง จะทำให้มีความหนืดสูง ซึ่งนับว่า อันตรายมาก เพราะมีการสะสมของสารประกอบมีขั้ว หรือสารโพลาร์ ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ และเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดและหัวใจ
นอกจากนี้ น้ำมันที่ใช้ทำเส้นก๋วยเตี๋ยวยังอาจปนเปื้อนของสารอะฟลาท็อกซินส์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดโรคตับอักเสบ
มะเร็งตับ รวมทั้ง โรคลายซินโดรม ในเด็กก่อนวัยเรียนจะมีอาการไข้ ปวดท้อง อาเจียน ชัก สมองบวม และตายภายใน 24-72 ชั่วโมง
ผศ.ดร.บัณฑิต กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบว่าเส้นก๋วยเตี๋ยวมีวัตถุ
กันเสียมากมาย ทั้งกรดเบนโซอิค ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ กรมโพรพิโอนิค เพื่อยับยั้งเชื้อราและจุลินทรีย์อื่นๆ ซึ่งตามมาตรฐานที่กำหนดให้ใช้ทุกๆตัวรวมกันต้องไม่เกิน 1,000 ppm แต่จากการสำรวจพบว่าโรงงานส่วนใหญ่ผลิตเกินมาตรฐาน ขณะที่
สำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยา(อย.) มีกฎหมายตรวจปริมาณโซเดียมเบนโซเอตอย่างเดียว ทำให้มีการหันไปใช้วัตถุกันเสียตัวอื่นๆ แทน
นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิตยังพบว่ามีการใส่สารส้มหรืออะลูมิเนียม อะลัม ซึ่งตามมาตรฐานทั่วไปไม่ได้มีข้อกำหนดไว้ แต่ในมาตรฐาน
น้ำดื่มบรรจุขวดกำหนดว่าต้องไม่เกิน 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่จากการศึกษาในเส้นก๋วยเตี๋ยวมีปริมาณอะลูมินัมอยู่ถึง 620 ppm หรือ 620 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าอันตรายต่อสุขภาพมาก เนื่องจากในต่างประเทศพบว่า หากรับประทานอะลูมินัมตั้งแต่ 50-200 ไมโครกรัมต่อลิตรจะส่งผลต่อระบบประสาท อาจก่อให้เกิดการอักเสบของไตและกรวยไต มีผลต่อระบบกระดูกได้
“เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ผ่านการลวก อาจช่วยชะล้างน้ำมันเก่าหรือสารปนเปื้อนต่างๆ ออกไปได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยยืนยัน แต่ปัญหาอยู่ที่เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ไปทำราดหน้า ผัดซีอิ้ว จะได้รับสารอันตรายเต็มๆ ที่สำคัญขณะนี้ยังพบว่า มีการใช้สารละลายบางชนิดที่มีลักษณะคล้ายน้ำมัน ที่เรียกว่า หัวเชื้อ เพื่อนำมาทาเส้นก๋วยเตี๋ยวอีกรอบ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่น หล่อลื่นมากยิ่งขึ้น แต่ยังไม่มีใครทราบว่าสารละลายดังกล่าวมีส่วนประกอบของอะไร ดังนั้น ทีมวิจัยจะมีการศึกษาเพิ่มเติม และจะมีการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน
ทั้ง อย. สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
ผู้ประกอบการทั่วประเทศ มาหารือถึงปัญหาดังกล่าว เพื่อหาแนวทางแก้ไขหรือปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวให้มีคุณภาพยิ่งขึ้น ในวันที่ 28 ตุลาคมนี้ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์” ผศ.ดร.บัณฑิต กล่าว
ผศ.ดร.บัณฑิต กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ จะต้องมีการจัดตั้ง Head Center ซึ่งเป็นการรวมตัวของตัวแทนองค์กรที่เกี่ยวข้องประมาณ 20 คน เพื่อเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกระบวนการผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวที่มีคุณภาพ ปราศจากสารปนเปื้อนต่างๆ ด้วย
นอกจากนี้ ในวันที่ 4 กันยายนนี้ อย.จะเปิดตัวโรงงานผลิตเส้นก๋วยเตี๋ยวต้นแบบที่ได้มาตรฐาน GMP เบื้องต้น 2 โรงงาน คือ โรงงาน อึ้งฮะเส็ง จ.จันทบุรี และโรงงาน จ.เจริญชัย
จ.มุกดาหาร ก่อนจะขยายไปโรงงานอื่นๆ อาทิ โรงงาน อิสริยผล
จ.เชียงใหม่ และโรงงาน ไทยวัฒนาไรซ์ จ.นครปฐม เป็นต้น
ที่มา-







