นักเคมีจุฬาฯร่วมกับกระทรวงยุติธรรม
พัฒนาอุปกรณ์ช่วยวินิจฉัยด้านนิติวิทยาศาสตร์ ใช้เพชร 0.1
กะรัตเป็นส่วนประกอบหลัก สามารถพิสูจน์ลายเซ็นจากคราบหมึก ตรวจคราบลิปสติก
เส้นผม แบงก์ปลอม
ระบุราคาถูกกว่านำเข้า 40 เท่า เตรียมส่งต่อสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ใช้งานจริง
รศ.ดร.สนองเอกสิทธิ์ ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า
ทีมวิจัยประสบความสำเร็จในการพัฒนาอุปกรณ์ช่วยวิเคราะห์โครงสร้างสาร สำหรับใช้ประโยชน์ในงานนิติวิทยาศาสตร์
โดยได้วิจัยร่วมกับสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม และรับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
อุปกรณ์ดังกล่าวสามารถตรวจพิสูจน์หลักฐานที่ปนเปื้อนบนพื้นผิววัตถุ เช่น คราบยาเสพติด คราบลิปสติก
ตรวจลายเซ็นจากคราบหมึก จากการทดสอบพบความแม่นยำถึง 100%
เพราะสามารถวัดได้ลึกในระดับโมเลกุลและองค์ประกอบของสาร โดยดูจากสเปกตรัมหรือคลื่นแสงที่ปรากฏ
ที่ผ่านมาเครื่องมือวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ต้องสั่งนำเข้าในราคาสูงถึง 4 แสนบาท
ขณะที่การใช้งานก็มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้งานกับวัสดุที่เป็นของแข็ง หรืออยู่บนพื้นขรุขระ
วัตถุที่มีขนาดเล็ก วัสดุที่มีสีดำ เช่น เส้นผม พลาสติกหนา ฟิล์มบางเคลือบผิว
ทีมวิจัยจึงออกแบบอุปกรณ์ขึ้นใหม่ซึ่งดัดแปลงจากอุปกรณ์ช่วยวิเคราะห์อัญมณี
โดยใช้เพชรเป็นตัวนำแสง ร่วมกับเทคนิคอินฟราเรดซึ่งมีอยู่เดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์โมเลกุลของสาร
ขณะที่หัวตรวจของอุปกรณ์นำแสงเดิม เป็นธาตุนำแสงประเภทซิลิกอน ซึ่งราคาแพงกว่าเพชร
ดังนั้น งานวิจัยนี้ทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงเหลือเพียง 1 หมื่นบาท
เพชร0.1 กะรัตเมื่อใช้เป็นวัสดุนำแสงร่วมกับอุปกรณ์อินฟราเรด ให้ผลตรวจสอบที่แม่นยำถึง 100%
นักวิจัยกล่าวและว่า ทีมวิจัยพร้อมที่จะส่งต่อเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทำจากเพชร ให้แก่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
สำหรับใช้วิเคราะห์หลักฐานทางอาชญากรรม
นอกจากนี้ทีมวิจัยกำลังปรับปรุงอุปกรณ์ดังกล่าวให้วิเคราะห์คุณภาพผ้าไหมได้ด้วย
โดยร่วมกับสถาบันหม่อนไหมแห่งชาติ เนื่องจากไหมแต่ละชนิดมาจากสายพันธุ์ที่ต่างกัน
ซึ่งมีผลคุณสมบัติของเส้นไหม ตลอดจนใช้ตรวจสอบไหมที่ลักลอบนำเข้าจากประเทศจีน พม่าและลาว
องค์ความรู้ดังกล่าว ยังสามารถพัฒนาวัสดุทางการแพทย์ในระดับนาโน
ในส่วนของการติดตามการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้าง
ซึ่งทีมวิจัยจุฬาฯ อยู่ระหว่างการพัฒนา
ที่มา-