แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ ถอดองค์ความรู้ไทเก๊ก จากยากสู่ง่าย
จัดทำเป็น 3 ชุดฝึกที่ทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน คือ การปรับลมหายใจ การเพิ่มพลังฝ่าเท้า
การบริหารข้อต่อ ช่วยยืดอายุการใช้งานของอวัยวะร่างกาย ใช้ได้จริงทั้งคนดีและคนป่วย สุขภาพดีทั้งกาย-ใจ
       
       นายมงคล ศริวัฒน์ หัวหน้าโครงการสร้างเสริมประสบการณ์ความสัมพันธ์เชิงมนุษย์ระหว่างบุคลากรสาธารณสุขกับคนไข้-ชุมชน โดยวิถีธรรมแห่งสุขภาวะ : ไทเก๊ก ตามแผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี สฤษดิ์วงศ์ (มสส.) เปิดเผยว่า โครงการได้ดำเนินการฝึกอบรมไทเก๊กให้กับแพทย์และพยาบาล 26 แห่งจากโรงพยาบาลทั่วประเทศที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการ
โดยใช้เวลาฝึก 4 เดือน และพบว่าแพทย์และพยาบาลที่ผ่านการฝึกสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับบุคลากรและผู้ป่วยในโรงพยาบาล

       นายมงคล กล่าวว่า ไทเก๊กเป็นการออกกำลังกายที่ให้ประโยชน์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีผลเสียต่อร่างกายน้อยที่สุด เพราะด้วยท่าทางที่เป็นการเคลื่อนตัวอย่างช้า ๆ ต่อเนื่องสบาย ๆ ไม่กระแทกกระทั้น จึงไม่เกิดปัญหากับข้อต่อหรือกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยให้การทำงานของหัวใจทำงานคงที่ เป็นการออกกำลังกายที่ให้เหงื่อมากกว่าคนที่ออกกำลังกายด้วยการวิ่งเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะเวลาเคลื่อนไหวช้าทำให้ไม่เกิดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อต่าง ๆ เกิดการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีทำให้ร่างกายอบอุ่นและรู้สึกมีพลังงานอยู่ภายใน คนฝึกไทเก๊กจะรู้สึกว่าผิวกายอุ่น
ฝ่ามือร้อนผ่าว ซึ่งเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายผ่านส่วนต่าง ๆ หรือแม้แต่ทางลมหายใจ เมื่อรำไทเก๊กไปสักหนึ่งชั่วโมงจะมีเหงื่อออกมากแต่ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเพลีย จะรู้สึกโปร่งสบาย อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการสอนไทเก๊กหรือในรูปวีซีดีที่สามารถทำเองที่บ้านได้ แต่ผู้ฝึกควรได้เรียนรู้หรือขอคำแนะนำจากครูผู้สอนหรือผู้รู้โดยตรงด้วย เพราะท่ารำไทเก๊กมีรายละเอียดมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการลงแรง การใช้น้ำหนัก การเคลื่อนตัวที่สำคัญ ๆ

       นายมงคล กล่าวว่า สำหรับการนำไทเก๊กมาใช้ฟื้นฟูคนไข้นั้น เป็นผลมาจากการไปฝึกอบรมให้กับแพทย์ พยาบาลในโครงการฯ โดยเราสามารถถอดชุดความรู้ท่ารำของไทเก๊ก จัดทำเป็นชุดฝึกที่ทำได้ง่าย 3 ชุดหลักคือ เริ่มจากชุดแรกการปรับลมหลายใจ ชุดที่สองการเพิ่มพลังฝ่าเท้า และชุดที่สามการบริหารข้อต่อ โดยที่นิยมนำไปใช้กับผู้ป่วยในโรงพยาบาลคือการปรับลมหายใจซึ่งโรงพยาบาลหลายแห่งนำไปใช้สำหรับผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
ที่มีปัญหาทั้งทางกายและทางใจ เพราะการรำไทเก๊กทำให้ผู้ฝึกมีจิตใจที่สงบลง และเห็นปัญหาอาการเจ็บป่วยของร่างกายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เกิดความทุกข์ความเครียดกับร่างกาย ยิ่งเอาชุดการฝึกลมหายใจเข้าไปช่วย ทำให้การปรับเลือดลมในร่างกายหมุนเวียนดีขึ้นเขายิ่งมีกำลังใจ มีสุขภาพกาย-ใจที่ดี ไทเก๊กจึงเป็นเรื่องของการสร้างเสริมสุขภาพ ส่งผลถึงความสัมพันธ์ระหว่างพยาบาลกับคนไข้ที่ไม่ใช่มารับยาแล้วก็จบ เป็นความรู้สึกเป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ไม่ใช่ผู้ป่วยกับผู้รักษาในเชิงเทคนิค
       
       โดยปกติการสอนไทเก๊กจะแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่เป็นพื้นฐาน กับส่วนที่เป็นท่ารำ สำหรับผู้ไม่เคยฝึกเลยโดยเฉพาะผู้สูงอายุซึ่งมักมีปัญหาเรื่องข้อเท้าไม่มีแรง มักเริ่มด้วยการฝึกลมหายใจก่อน สังเกตว่าคนที่ไม่เคยฝึกเวลายืนยกขาข้างเดียวมักจะเซ แต่พอมาฝึกไทเก๊กไม่ถึงอาทิตย์ปรากฎว่ายืนยกขาข้างเดียวได้สบาย ที่เขาทำไม่ได้เพราะไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อหรืออวัยวะตรงส่วนนั้นทำให้ไม่มีแรง ทำให้ความสามารถในการใช้เท้าลดลงไปเรื่อย ๆ แต่เมื่อเราเริ่มฝึกวันนี้ก็ทำให้เท้าคู่นี้แข็งแรง
และหากฝึกไปเรื่อย ๆ อีกสิบปีข้างหน้าเราก็ยังสามารถใช้เท้าคู่นี้ได้อยู่

       นายมงคลกล่าวว่า ไทเก๊กสามารถทำได้ทุกเวลา อย่างตอนเช้ายืนแปรงฟันอยู่ก็เพียงยืนตรงผ่อนเข่าลงเล็กน้อยให้น้ำหนักตัวลงที่ฝ่าเท้า จะสังเกตน้ำหนักของเราทั้งตัวจะไปเกาะอยู่ตามกล้ามเนื้อ และทรวงอกกระทั่งถึงฝ่าเท้า
ฉะนั้นพอยืนไปประมาณ 5 นาที คนที่ฝึกใหม่จะบอกว่าเมื่อย นั่นแสดงว่ากล้ามเนื้อไม่เคยใช้งานเลย หากฝึกต่อไปสักสามสัปดาห์ อย่างในกลุ่ม อสม.กับผู้สูงอายุ ที่พยาบาลได้ไปฝึกถ่ายทอดให้ในหมู่บ้าน บางกลุ่มบอกว่าเจ็บเข่า พอมาฝึกสัก1-2 สัปดาห์จะรู้สึกว่ายืนได้สบาย อาการเจ็บเข่าหาย หรืออย่างคนที่ขับรถเวลารถติดหรือคนที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ก็อาจใช้การฝึกการกำและคลายนิ้วมือทีละนิ้ว ทีละข้อนิ้ว เพราะปกติเรามักกำหรือเหยียดนิ้วทีละสี่นิ้วซึ่งเป็นความคุ้นเคย โดยเฉพาะคนที่อายุ 30-40 ปีขึ้นไป ทั้งที่สมองเราเวลาสั่งงานจะสั่งทีละนิ้ว อันนี้เราต้องฝึกใหม่เริ่มกำทีละนิ้วและเวลาคลายออกก็คลายทีละนิ้ว ส่วนหนึ่งได้บริหารตรงข้อนิ้ว อีกส่วนไปกระตุ้นการทำงานของสมอง และเมื่อทำควบคู่กับการปรับลมหายใจ จะช่วยดึงลมหายใจให้ยาวขึ้น ละเอียดขึ้น ทำไปสักพักจะสังเกตว่าลมหายใจเราจะมีพลัง จากการที่อากาศเข้าสู่ร่ายกายได้ลึกถึงปอดส่วนล่างจึงรู้สึกสดชื่นขึ้น นี่ก็เป็นการบริหารแล้ว

       นายมงคลกล่าวว่า ลักษณะแบบหนึ่งของคนในปัจจุบันมีทักษะของการใช้มือน้อยลง พลังของฝ่ามือก็ น้อยลง และไม่สามารถส่งแรงไปยังปลายนิ้วได้ ที่น่าห่วงคือนิ้วเท้าสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เวลาเป็นแผลที่เท้า
ซึ่งในที่สุดรักษาไม่หายต้องตัดทิ้ง เพราะฉะนั้นทางหนึ่งที่เราจะทำได้คือเราต้องส่งพลังไปถึงปลายนิ้วเท้าให้ได้ พอเรารู้สึกว่าปลายนิ้วมือปลายนิ้วเท้ามีแรง จะเกิดการไหลเวียนของเลือดไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นเราจะรู้สึกว่าปลายประสาทสัมผัสต่าง ๆ เริ่มสั่งงานไม่ได้ มีการอุดตันและอื่น ๆ เลือดไปไม่ถึงในที่สุดต้องตัดขา
ทั้งที่ความจริงฝึกฝนได้ ด้วยการปรับลมหายใจ การเพิ่มพลังของฝ่าเท้า การบริหารข้อต่อ
ซึ่งจะทำให้สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อย่างปกติ และยืดอายุการใช้งานของอวัยวะ
       
       นายมงคล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันภาพลักษณ์ใหม่ของไทเก๊กที่ฝึกง่าย ได้ผลโดยตรงต่อสุขภาพกาย-ใจ เริ่มแพร่กระจายไปในสังคมมากขึ้น และจากการดำเนินโครงการพบว่า บุคลากรในโรงพยาบาลเป็นกลุ่มคนที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพสูง มีวินัยในการสร้างเสริมสุขภาพของตนเองน้อยมาก ต้องพึ่งพิงการใช้ยาสูง การกระตุ้นให้บุคลากรในโรงพยาบาลและสถานีอนามัยหันมาสนใจปัญหาสุขภาพของตนเองและ
มาร่วมทำกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพ เช่น ไทเก๊กนั้น สามารถทำได้ไม่ยาก และจะเป็นเครื่องมือหนึ่งให้แพทย์และพยาบาลนำไปใช้ในการทำงานสร้างเสริมสุขภาพให้กับชุมชน
 
 
 
 
 
 
ที่มา-
 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง