แถลงข่าว เปิดตัวโครงการโครงการ นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รวมใจเทิดไท้ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
 
 
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปฏิรูปการจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ออกค่ายอาสาพัฒนาชุมชนและสังคม รวมพลังนิสิตทั้งในส่วนของสโมสรนิสิตคณะต่างๆ และชมรมกิจกรรมด้านบำเพ็ญประโยชน์ จัดกิจกรรมออกค่ายอาสาพัฒนาร่วมในพื้นที่ดำเนินงานเดียวกัน เน้นการพัมนาทุกระบบให้กับชุมชนอย่างครบวงจร ใช้ระยะเวลา 1 ปี งบประมาณกว่า 1 ล้าน 5 แสนบาท
       
       
รศ.วุฒิชัย กปิลกาญจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ในแต่ละปีองค์กรกิจกรรมนิสิตด้านบำเพ็ญประโยชน์ ได้จัดกิจกรรมในหลายพื้นที่กระจายไปตามภูมิภาคต่างๆ ทำให้การพัฒนาท้องถิ่นนั้นๆ ได้รับการพัฒนาเพียงบางส่วนไม่ครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้นจึงได้จัดโครงการนิสิตมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ รวมใจเทิดไท้ 80 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขึ้น เพื่อรวมพลังนิสิตและองค์กรกิจกรรมนิสิตด้านบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้แก่ องค์การบริหาร องค์การนิสิต สโมสรนิสิตคณะต่างๆ ชมรมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ โครงการจัดตั้งวิทยาเขตลพบุรี และกองกิจการนิสิต
       
       โดยนำความรู้ “ศาสตร์แห่งแผ่นดิน”จากห้องเรียนกระจายสู่ชุมชุนอย่างเป็นรูปธรรม เน้นการให้การพัฒนาอย่างครบวงจร และตรงกับความต้องการของชุมชน ทั้งนี้โครงการได้เลือกพื้นที่ บ้านนกเขาเปล้า ตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีเป็นพื้นที่เป้าหมาย
       
       ทั้งนี้รศ.วุฒิชัย กล่าวว่าระยะเวลาดำเนินการออกค่ายอาสาฯ 1 ปี ตั้งแต่ ธันวาคม 2550 – ธันวาคม 2551 ซึ่งเป็นการดำเนินงานพัฒนาชุมชนในด้านต่างๆ ได้แก่ โครงการด้านส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์  โครงการพัฒนาสาธารณูปโภคและสภาพแวดล้อมชุมชน โครงการพัฒนาทางด้านการเกษตร และ โครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาและคุณภาพชีวิตใช้งบประมาณทั้งสิ้น 1,626,200 บาท
       
       ด้าน “อาทิตย์ ชาวไร่อ้อย” นายกองค์กรบริหารองค์กรนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวถึงผลการดำเนินโครงการและการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ และกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆว่า โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากนิสิต นักศึกษาจากคณะ และชมรมต่างๆ ร่วมมือร่วมใจกันทำประโยชน์ เพื่อตอบแทนความดีให้กับในหลวงของเรา
       
       “เราตั้งใจและใช้ความมุ่งมั่นที่จะนำความรู้ทางวิชาการไปเผยแผ่
ให้ชาวบ้านในจังหวัดลพบุรีด้วยตัวเอง โดยนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่มาเป็นแนวคิดและปฏิบัติ โดยการนำทีมนิสิตที่ร่วมโครงการนี้ลงพื้นที่สำรวจ ว่าชาวบ้านประสบปัญหาใดบ้าง ขาดแคลนและมีความต้องการในส่วนไหน ต่อจากนั้นเราก็กลับมาระดมความคิดและนำการพัฒนาชุมชนดังกล่าว อาจจะเกิดอุปสรรค เพราะชาวบ้านยังคงยึดตัวอยู่กับภูมิปัญญาที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่เราก็ได้ทำความเข้าใจ และลงมือทำ เพื่อให้ชาวบ้านได้เห็นว่าความรู้ทางวิชาการ ที่เราได้เรียนมาทำให้เกิดประโยชน์ต่อพวกเขาจริงๆ”
       
       ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวนิสิตจะแยกหน้าที่กันทำกิจกรรมดังนี้สโมสรนิสิต คณะสัตวแพทย์ และเทคนิคการสัตวแพทย์ จัดกิจกรรมส่งเสริมการเลี้ยงสัตว์ หาแม่พันธ์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสนเพื่อนำลงพื้นที่ และสาธิตวิธีการดูแลสัตว์เลี้ยงให้กับชาวบ้าน
       
       สโมสรนิสิตคณะวนศาสตร์ และชมรมรักษ์ช้างไทย วิทยาเขตลพบุรี จัดกิจกรรมปลูกสร้างสวนป่า 10 ไร่ โดยมีพันธ์ไม้เศรษฐกิจกว่า 3500 ต้นกล้า พร้อมทั้งให้คำแนะนำการปลูกต้นแฝก และทำป้ายชื่อพฤกษศาสตร์ ในบริเวณป่าใกล้เคียงในพื้นที่
       
       สโมสรนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ชมรมพัฒนาชนบทและชมรมค่ายอาสาพัฒนา จัดกิจกรรมซ่อมแซมและปรับปรุงศาลาวัด ปลูกต้นไม้ สร้างเตาเผาขยะ สร้างหอสมุดชุมชน
       สโมสรคณะเกษตร จัดกิจกรรมสาธิตวิธีการปลูกพืชผสมผสาน วิธีการดูแลรักษา
       
       สโมสรนิสิตนักศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ชมรมมหาวิทยาลัยชาวบ้าน และชมรมธารความรู้นนทรี จัดกิจกรรมสัมมนาทางการศึกษา ทดสอบความรู้พื้นฐานให้เด็กในชุมชน สอนคอมพิวเตอร์ สอนการเก็บออม เปิดค่ายส่งเสริมความรู้คู่คุณธรรม
       ชมรมเห็ด จัดกิจกรรมสร้างโรงเพาะเห็ด
       
       สโมสรนิสิตคณะเศรษศาสตร์และบริหารธุรกิจ จัดกิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่ออาชีพเสริม แนะนำวิธีการเก็บออม และการปลดหนี้
       
       “ยะ” ปิยะ ลำพรหมสุข นิสิตชั้นปี 3 คณะเทคนิคการสัตว์แพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการ เล่าถึง ประสบการณ์จากการนำความรู้ถ่ายทอดสู่ชุมชนว่า กิจกรรมนี้ได้ผลพวงความรู้มากกว่าที่คิดไว้ เพราะทุกคนได้นำความรู้ที่มีบอกต่อๆให้ชาวบ้านได้เข้าใจ และยังได้นำความรู้จากภูมิปัญญาของชาวบ้านมาคิดและสานต่อได้
       
       “หลังจากที่เราได้เข้าร่วมกิจกรรม และลงพื้นที่ดังกล่าว เราพบกับปัญหาที่ชาวบ้านได้ประสบปัญหาการขาดแคลนปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะการเลี้ยงสัตว์ จำพวกสุกร โคเนื้อ ที่ไม่ถูกวิธี เราจึงนำความรู้ที่ได้จากการเรียนไปเผยแผ่ให้ชาวบ้านได้เข้าใจ ใช้วิธีการทดสอบ และลงทำ จากที่เคยมีชาวบ้านบางคนไม่ให้การตอบรับ เพราะยังยึดหลักภูมิปัญญาของตัวเองอยู่ก็เปลี่ยนมาใช้ทฤษฏีที่พวกเรานำไปใช้ และเกิดประโยชน์ได้จริง”
 
 
 
 ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง