ตำรวจมึนยอมรับตามตัวยาก เตือนผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวัง

 
นายมั่น พัธโนทัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวในงานสัมมนาจัดโดยสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทยว่า ปัญหาที่พบหลัง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ประกาศใช้เกือบ 1 ปีแล้ว คือมีผู้กระทำความผิดโดยไม่เจตนาต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะมีบทลงโทษครอบคลุมทั้งผู้ที่เจตนา และไม่เจตนา จึงควรแก้ไข โดยระบุให้ชัดเจนว่า ต้องเป็นการ
กระทำผิดโดยเจตนา รวมถึงการบังคับให้หน่วยงานรัฐ เอกชน อินเทอร์เน็ตคาเฟ่ จัดเก็บข้อมูลจราจรทางคอมพิวเตอร์ไว้อย่างน้อย 90 วัน ส่งผลให้ราคาอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเก็บข้อมูลมีราคาสูงจนผู้ประกอบการราย เล็กปิดไปหลายราย จึงต้องแก้กฎหมายเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดให้ผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม หลังรับฟังความคิดเห็นแล้ว กระทรวง  ไอซีทีและสมาคมคอมพิวเตอร์ไทยจะนำสิ่งที่ต้องแก้ไขมาหารือร่วมกัน หากสามารถออกเป็นกฎกระทรวงได้ ก็จะเร่งดำเนินการ เพราะง่ายกว่าการแก้ไขกฎหมาย 

ด้านนายศรีศักดิ์ จามรมาน นายกสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปภัมภ์ กล่าวว่า
ควรเพิ่มบทลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำผิดกฎหมายเอง แต่ควรยกเว้นการดำเนินคดีกับสถาบันการศึกษาที่เป็นผู้ให้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต รวมถึงยกเว้นให้มีการส่งเบาะแสการกระทำความผิดให้เจ้าหน้าที่ผ่าน อินเทอร์เน็ตได้ และควรปรับปรุงกฎหมายอย่างสม่ำเสมอให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี เหมือนที่สหรัฐอเมริกา       นอกจากนี้ยังต้องออกกฎหมายเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่คุ้มครองความเป็นส่วนตัว และสิทธิส่วนบุคคลเพิ่มเติม ที่สำคัญคือ ภาครัฐควรรวบรวมคดีตัวอย่างเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น วิธีป้องกันตัวเอง และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างถูกต้อง
จากข้อมูลของศูนย์ตรวจสอบและวิเคราะห์การทำผิดทางเทคโนโลยี (ศตท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พบว่า ก่อน พ.ร.บ.มีผลบังคับใช้ ในปี 2549 มีการแจ้งความในคดีเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ประมาณ 5,000 คดี
ในปี 2550 ซึ่งกฎหมายประกาศใช้แล้ว มีการแจ้งความประมาณ 9,000 คดี โดยส่วนใหญ่เป็นการหมิ่นประมาทและเผยแพร่ภาพลามกอนาจาร ส่วนคดีที่มีมูลค่าความเสียหายมาก ได้แก่ การลักลอบเจาะระบบบัตรเติมเงินของผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ ซึ่งคนร้ายได้เงินไปกว่า 10 ล้านบาท

ร.ต.อ.ชาญชัย วีระ รองสารวัตรกลุ่มงานตรวจสอบ ศตท.กล่าวว่า การใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เนื่องจากมีเทคโนโลยีที่ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตง่าย สะดวก และราคาถูกลง รวมทั้งการทำธุรกิจออนไลน์มากขึ้นจึงเกิดการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากขึ้นด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่มูลค่าความเสียหายที่เกิดแต่ละคดีจะมากขึ้นเช่นกัน

จากการสืบสวนคดีที่ผ่านมา พบว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือ เป็นช่องทางที่ผู้กระทำความผิดใช้มากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ คดีแฮกระบบบัตรเติมเงินของผู้ให้บริการมือถือ คนร้ายเข้าอินเทอร์เน็ตด้วยโทรศัพท์มือถือระบบพรีเพด เมื่อใช้เสร็จก็หัก
ซิมทิ้งทำให้ตามตัวยากขึ้น หรือคดีแฮกโดเมนเนมเว็บไซต์หลายแห่ง คนร้ายก็เข้าอินเทอร์เน็ตด้วยมือถือ เพื่อไปสวมรอยเป็นเจ้าของโดเมนเนมก่อนนำโดเมนเนมไปประมูลขาย

นอกจากนี้ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตผ่านระบบไวร์เลสเป็นอีกช่องทางที่คนร้ายมักใช้เพื่อให้ตามตัวยากขึ้น   อาทิ คดีหลอกขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ ดังนั้นผู้ให้บริการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตทั้ง 2 รูปแบบจึงควรระมัดระวัง และสร้างระบบพิสูจน์ตัวตนผู้ใช้งาน และเก็บข้อมูลจราจรตามกฎหมายด้วย เนื่องจากเทคโนโลยีมีความซับซ้อนมากขึ้นจึงอยากให้ประชาชนที่ใช้อินเทอร์เน็ตระวังตัวมากขึ้น

โดยเฉพาะในการป้องกันและรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเอง อาทิ เบอร์โทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน อีเมล์ บัญชีธนาคาร ฯลฯ ไม่ควรนำไปโพสต์บนอินเทอร์เน็ต   เพราะที่ผ่านมามีคนร้ายได้ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตแล้วนำไปขโมยเงินผ่าน บริการธนาคารทางอินเทอร์เน็ตหลายราย และวิธีการขโมยก็ไม่ได้ยุ่งยาก แค่เพียงแฮกอีเมล์โดยการเดารหัส หรือเดาคำตอบที่ได้จากคำถามกันลืม ที่ระบบอีเมล์ตั้งไว้เท่านั้น แค่โทร.แจ้งธนาคารส่งรหัสใช้บริการธุรกรรมออนไลน์ให้ใหม่ผ่านอีเมล์ ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารไม่ได้สงสัยอะไร เนื่องจากคนร้ายตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าได้หมด
 
 
 
ที่มา- 
 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง