ชาดก 500 ชาติ
คิชฌชาดก-ว่าด้วยอำนาจบุญคุณ
คิชฌชาดก "เป็นเรื่องของพญาแร้งที่มีความกตัญญูรู้คุณ คิดตอบแทนคุณท่านเศรษฐีที่ได้ช่วยชีวิตตนและเหล่าบริวาร เมื่อครั้งที่พวกตนต้องเจอกับพายุฝนที่ตกกระหน่ำจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด"พญาแร้งผู้มีความกตัญญูเลี้ยงดูบิดามารดาและดูแลเหล่าบริวารให้อยู่กันอย่างร่มเย็นครั้งหนึ่งที่แผ่นดินชมพูทวีปสงบเย็นด้วยพระพุทธธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระวัจนอันเป็นคติธรรมนำการดำเนินชีวิตข้อกตัญญูรู้คุณเป็นเกราะแก้วปกป้องอันตรายได้เป็นอีกหลักธรรมข้อหนึ่งที่มหาชนสาธุการกันถ้วนหน้า ดังพระธรรมเทศนา ณ พระมหาวิหารเชตวันอรรถกถาชาดกภิกษุหนุ่มผู้บวชใหม่ถูกวิพากษ์วิจารย์ในหมู่สงฆ์ว่าเป็นผู้ที่ยังไม่ตัดทางโลกครั้งเสวยพระชาติเป็นพญาแร้ง ซึ่งมีเหตุการณ์ตรัสชาดกนี้เพราะภิกษุใหม่รูปหนึ่ง ภิกษุรูปนี้อุปสมบทไม่นาน ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ายังไม่ตัดทางโลก ยังวนเวียนสู่บ้านเรือนทุกวันไม่ว่างเว้น “วันนี้มีชาวบ้านมาตักบาตรเยอะเหมือนกัน แวะไปที่บ้านก่อนดีกว่า” “ภิกษุใหม่รูปนั้นกลับไปบ้านอีกแล้วละซิภิกษุหนุ่มผู้บวชใหม่แยกตัวออกจากกลุ่มภิกษุสงฆ์หลังจากรับบิณฑบาตเรียบร้อยแล้วภิกษุหนุ่ม ผู้บวชใหม่ผู้มีความกตัญญูเป็นที่ตั้ง ท่านออกบิณฑบาตได้อาหารมาก็นำอาหารส่วนใหญ่กลับไปเลี้ยงบิดามารดาที่บ้านและตนเองก็นำอาหารส่วนน้อยกลับไปฉันที่พระอารามตั้งแต่บวชมาก็เห็นกลับไปบ้านทุกวัน สงสัยคิดถึงบ้านแน่ๆ เฮ้อ พระบวชใหม่ก็อย่างนี้แหละ” ภิกษุใหม่รูปนี้ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์แต่เช้าตรู่ เสร็จแล้วก็มิได้กลับพระอารามดังภิกษุรูปอื่นๆ แต่บ่ายหน้าไปตำบลชนบทของตนพร้อมอาหารที่ภิกขาจารได้มา “รีบแวะไปที่บ้านดีกว่า เดี๋ยวจะเข้าวัดสาย”ภิกษุหนุ่มผู้บวชใหม่เดินทางกลับบ้านทุกวันหลังจากบิณฑบาตเรียบร้อยแล้วเมื่อถึงบ้านภิกษุได้แบ่งอาหารส่วนใหญ่ให้บิดามารดาเลี้ยงชีวิตก่อนนำส่วนน้อยกลับไปฉันที่อารามภายหลัง “ลูกเราออกบวชแล้ว ก็ยังกลับมาดูแลเราอยู่ทุกวัน” “ได้กินเต็มอิ่มก็เพราะพระนี่แหละ พวกเรานะแก่ตัวลงมากแล้ว เรี่ยวแรงทำงานก็ไม่ค่อยจะมี เฮ้อ” เรื่องภิกษุกลับมาปรนนิบัติพ่อแม่นี้ หามีใครรู้มาก่อนไม่ภิกษุหนุ่มนำอาหารที่บิณฑบาตมาได้ให้พ่อและแม่ของตนเป็นประจำทุกวันภิกษุรูปอื่นๆ ต่างเข้าใจผิดไปต่างๆ นาๆ ว่าภิกษุใหม่รูปนี้ไม่สิ้นทางโลก กระทั้งภิกษุท่านนี้ได้กราบทูลต่อเบื้องพระพักตร์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุทั้งมหาวิหารถึงได้สิ้นสงสัยลง “เหตุที่ข้าพระองค์กลับไปบ้านก่อน เนื่องจากต้องกลับไปดูแลพ่อแม่ที่แก่ชราแล้วพระเจ้าค่ะ”ภิกษุหนุ่มได้กราบทูลเรื่องที่ตนนำอาหารไปเลี้ยงดูบิดามารดาซึ่งท่านแก่ชรามากแล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงให้เหล่าภิกษุสาธุการกับภิกษุหนุ่มผู้เลี้ยงดูบิดามารดาก่อนที่ท่านจะตรัสเล่า คิชฌชาดกว่าด้วยอำนาจบุญคุณเรื่องภิกษุใหม่เลี้ยงดูคฤหัสถ์อันเป็นบิดามารดานี้ พระพุทธเจ้าให้สาธุการว่าดีแล้ว ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าได้ตำหนิโทษภิกษุนี้เลย แม้โบราณกาลก่อนบัณฑิตก็ได้ทำอุปการะแก่ผู้มิใช่ญาติด้วยอำนาจบุญคุณมาแล้ว ส่วนบิดามารดาของภิกษุนี้ ควรถือเป็นภาระแท้”พญาแร้งและเหล่าบริวาร ณ หุบเขาคิชฌบรรพตพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนั้นแล้ว จึงทรงย้อนอดีตชาติครั้งกระโน้นด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ตรัสเล่าคิชฌชาดก ดังนี้ ณ หุบเขาคิชฌบรรพตไกลออกไปจากพาราณสีมหานคร ยังมีพญาแร้งตัวหนึ่งปกครองบริวารและหาอาหารเลี้ยงดูบิดามารดาผู้ชราอยู่ ณ ที่นั่น บ้างฤดูกาลที่เกิดขาดแคลนอัตคัดพญาแร้งพาเหล่าบริวารออกหาอาหารเป็นประจำทุกวันพญาแร้งก็ยังดูแลบริวารและแบ่งปันอาหารแก่ผู้ให้กำเนิดจนผ่านวิกฤตได้เสมอ “ยามนี้แห้งแล้งให้พวกเราที่แข็งแรงช่วยกันบินออกไปหาอาหาร มา ตามข้ามาเถิด” “โอ้ย ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว โอ้ย ไม่มีเรี่ยวแรงเลย เจ้าแข็งแรงดีอยู่ ตามพญาแร้งไปหาอาหารให้ข้าด้วยนะ”พญาแร้งและเหล่าบริวารเจอพายุฝนตกกระหน่ำในขณะที่บินออกหาอาหาร“ทุกทีเลย รออยู่นี่แล้วกัน เดี๋ยวข้าไปหาอาหารให้ หื้อ..” จนฤดูฝนเวียนมาถึงอีกครั้ง อันเป็นเหตุให้เกิดกรรมแก่ฝูงแร้งทั้งปวง “โอ้ย ฤดูฝนช่างขาดแคลนอาหารจริงๆ ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว โอ้ย หิวๆๆๆ” “นั่นนะซิ เมื่อไหร่พญาแร้งจะพาเราออกไปหาที่อื่นละเนี่ย โอ๊ย..หิวจะแย่อยู่แล้ว”พญาแร้งพาเหล่าบริวารร่อนลงหลบฝนยังริมกำแพงเมืองพาราณสี“เจ้าก็ไปชวนพญาแร้งซิ” “เออๆๆ ข้าทุกทีเลยเนี่ย โห้ย..เบื่อจริงๆ เจ้านะ ไม่ยอมทำอะไรเลยเนี่ย” พญาแร้งทนต่อการรบเร้าของบริวารไม่ไหว ก็อำลาบิดามารดาแล้วโผขึ้นสู่นภากาศ นำฝูงไปสู่อาหาร ณ ที่ราบเบื้องล่าง “อืม..ไปก็ไป มาเถอะตามเรามา เราจะพาพวกเจ้าไปหาอาหารที่เบื้องล่างนี้เอง”ท่านเศรษฐีสั่งคนรับใช้ให้พาฝูงแร้งไปผิงไฟและหาอาหารให้พวกมัน“เย้ๆๆ บินไปกันพวกเรา ไปหาอาหารกัน” “ออมแรงไว้บ้างก็ดีนะ เดี๋ยวพวกเจ้าน่ะต้องบินไปอีกไกล” “โห้ย..ถ้าเป็นเรื่องอาหารละก็ แรงข้านะไม่หมดง่ายๆ หรอก ท่านพญาแร้ง” พญาแร้งนำฝูงออกมาจากหุบเขาคิชฌบรรพตได้ไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ก็เกิดอุบัติกาลจากพายุฟ้าคะนองก็เกิดขึ้นคนรับใช้ท่านเศรษฐีพาฝูงแร้งมากินอาหารจากซากโคกระบือที่บริเวณนอกเมืองที่เคราะห์ร้ายก็คือตรงนั้นไม่มีภูเขาหรือต้นไม้ให้ร่อนลงได้ทัน และแล้วแร้งทั้งฝูงก็มิอาจต้านทานต่อพายุฝนที่กระหน่ำลงมาได้ “โอ้ย ไม่ไหวแล้ว ลมแรงเหลือเกิน บินไม่ไหวแล้ว” “พวกเราประคองตัวไว้ให้ดี ค่อยพากันบินลงสู่เบื้องล่างนั้นให้ได้” “รวมฝูงกันไว้ พากันไปยังเมืองข้างล่างนั่น ฮึบ..ไปเลย”ท่านเศรษฐีได้ให้รางวัลคนรับใช้ที่ได้ดูแลฝูงแร้งเป็นอย่างดีพญาแร้งนำบริวารร่อนลงมาหลบฝนหนาวสั่นอยู่ที่กำแพงเมืองพาราณสีได้สำเร็จ แต่ขนและปีกที่เปียกน้ำจนชุ่ม ไม่สามารถทำให้บินต่อได้ ขณะนั้นเศรษฐีใจบุญแห่งพาราณสีได้ผ่านมาพบเข้า จึงคิดสร้างกุศลแก่แร้งเหล่านี้ “พ่อบ้านท่านนะ จงนำคนรับใช้มาขนเอาแร้งเหล่านี้ไปผิงไฟให้อุ่นเมื่อกินอาหารจนอิ่มฝูงแร้งก็พากันบินกลับไปยังเขาคิชฌบรรพตที่อยู่ของพวกตนหาอาหารให้กินจนอิ่มด้วยเถิด” “โอ้ มีคนมาช่วยพวกเราแล้ว รอดตายแล้วเรา” “สาธุ ขอบคุณท่านเศรษฐีจริงๆ” บริวารเศรษฐีรับคำสั่งแล้วก็นำเอาฝูงแร้งไปในที่กำบังฝน จัดการก่อไฟให้อบอุ่น จนปีกและขนเริ่มแห้ง จากนั้นก็นำไปยังแหล่งอาหารนอกเมือง ซึ่งเป็นที่ทิ้งซากโคกระบือ “เย้ ปีกแห้งแล้วเรา เดี๋ยวก็บินได้แล้ว”ฝูงแร้งให้เหล่าบริวารช่วยกันคิดหาวิธีตอบแทนบุญคุณท่านเศรษฐีที่เคยช่วยชีวิตพวกตนไว้พญาแร้งผู้กตัญญู บอกแผนการกับบริวารในการที่จะตอบแทนคุณท่านเศรษฐีที่เคยช่วยชีวิตพวกตนไว้“โอ้โห มีแต่อาหารทั้งนั้นเลย พวกเรานนี้ เป็นหนี้บุญคุณท่านเศรษฐีจริงๆ” “พวกแร้งเป็นยังไงบ้างพ่อบ้าน” “แร้งทั้งหมดพ้นความตาย กำลังกินเนื้อซากโคกระบืออยู่” “ดีแล้วๆ เอ้านี่ เงินรางวัล จงนำไปแจกจ่ายแบ่งปันกันให้ทั่วนะ” “โอ้ ขอบคุณมากท่านเศรษฐี” เมื่อพายุฝนสงบลงพญาแร้งก็นำฝูงของตนโผบินกลับภูมิลำเนาของตนฝูงแร้งพากันขโมยเสื้อผ้าที่ชาวบ้านได้ซักตากไว้ด้วยความสำนึกในพระคุณของเศรษฐีอย่างล้นพ้น ครั้นฤดูฝนผ่านพ้นไป วันหนึ่งพญาแร้งก็เรียกประชุมบริวารเพื่อหาทางตอบแทนบุญคุณท่านเศรษฐี “เรารอดตายครั้งนั้นได้ เพราะท่านเศรษฐีแท้ๆ เลย พวกเรานะ ควรจะตอบแทนบุญคุณท่าน พวกเจ้าช่วยกันคิดหาวิธีตอบแทนบุญคุณท่านเศรษฐีซิ”ฝูงแร้งทำการขโมยเสื้อผ้าชาวบ้านทุกวันจนเกิดความวุ่นวายไปทั่วทั่งเมืองฝูงแร้งจากเขาคิชฌบรรพต ได้ทำการขโมยเสื้อผ้าทำให้ชาวเมืองได้รับความเดือดร้อนเกิดความวุ่นวายไปทั่วพาราณสี“ข้าว่า เราคาบอาหารที่พวกเราหาได้ แบ่งให้ท่านเศรษฐีบ้าง ดีไหม๊ ท่านพญาแร้ง” “ไม่ดีๆๆ ท่านเศรษฐีเค้าไม่ได้กินอาหารเหมือนพวกเรา” “ข้าว่า เราน่าจะหาอะไรที่ท่านเศรษฐีใช้เป็นประโยชน์นะท่านพญาแร้ง” “อือ ข้านึกออกแล้วเสื้อผ้ายังไงละ พวกเจ้าทุกตัวจงคอยดูเสื้อผ้าอาภรณ์ที่มนุษย์ตากไว้ฝูงแร้งทำการขโมยเสื้อผ้าชาวบ้านนำมาให้ท่านเศรษฐีเมื่อเห็นที่ไหนให้เร่งฉกฉวยเอาไปให้หมด” “โหย เสื้อผ้าพวกนั้น พวกเราใส่ไม่ได้หรอก” “โอ้ย เค้าไม่ได้ให้เอามาใส่เอง ท่านพญาแร้งเค้าเอาไปให้ท่านเศรษฐี เจ้านี่ซื่อบื้อจริงๆ เลย” และแล้วความเดือดร้อนของประชาชนก็เริ่มมีขึ้น และมีต่อๆ ไปทุกวันทั่วพาราณสี “อุ๊ย เสื้อตัวนี้ลายสวยดี ขอแล้วกันนะจ๊ะ”ท่านเศรษฐีประหลาดใจยิ่งนักกับการกระทำของฝูงแร้ง“โอ้ย เนื้อผ้าอันนี้ก็สวย ขอล่ะ” “เร็วๆ พวกเราช่วยกันคาบไปให้ท่านเศรษฐีกันเถอะ” “เฮ้ย เสื้อผ้าชั้น พวกแกจะคาบเสื้อผ้าชั้นไปไหนเนี่ย” ปฏิบัติการครั้งนี้ นำความมึนงงแก่เศรษฐีเป็นอย่างมาก แต่ท่านมิใช่คนโลภที่รวยแล้วไม่รู้จักพอ จึงสั่งบริวารเก็บผืนผ้าอาภรณ์พรรณที่แร้งทิ้งลงในคฤหาสน์ไว้เป็นส่วนๆราษฎรพาราณสีเข้าถวายฎีกาเรื่องที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำของฝูงแร้ง“เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย พวกแร้งไปคาบเอาเสื้อผ้านั้นมาจากไหน” “เหมือนพวกมันจะจงใจคาบมาไว้ที่เรานะ ขอรับ” “นั่นนะซิ พวกเจ้า เก็บเสื้อผ้าพวกนั้นไว้ก่อนนะ” ชาวบ้านชาวเมืองได้รับความเดือดร้อน ก็เข้าเฝ้าถวายฎีกาต่อพระเจ้าพรหมทัต “ข้าแต่ฝ่าบาท พวกเราได้รับความเดือดร้อนจากแร้งฝูงนี้มากพะยะค่ะ”พญาแร้งติดบ่วงจับดักและถูกนำตัวเข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต“ใช่เพคะ เสื้อผ้าที่ตากไว้หายหมดเกลี้ยงทุกวัน” “ทหารฟังเรานะ ให้พวกเจ้าวางบ่วงดักจับพญาแร้งฝูงนั้นให้ได้ จับได้พญาแร้งตัวเดียวพวกท่านก็จะได้ของคืนทั้งหมด เอาหล่ะ จงไปวางบ่วงจับเถิด” “พะยะค่ะ” เมื่อได้ฟังแผนการจากพระเจ้าพรหมทัตแล้ว มหาชนก็ชุมนุ่มกัน ทำการวางกลอุบายหาทางวางบ่วงดักจับพญาแร้งท่านเศรษฐีตามพญาแร้งเข้าไปในพระราชวังด้วยความห่วงใย“พวกเรามาช่วยกันวางบ่วงดักจับพญาแร้งกันเถอะ มาช่วยกันคนละไม้ละมือ รับรองพญาแร้งเสร็จเราแน่ๆ” “ดีๆ ที่นี้แหละ ข้าจะได้เสื้อผ้าของข้าคืนซะที” “เราเอาซากสัตว์มาล่อ แล้ววางบ่วงไว้ดีไหม๊ พวกเจ้าว่ามันจะได้ผลรึเปล่า รึว่าเราจะวางกับดักด้วยเสื้อผ้าดี” “ข้าว่าเป็นเสื้อผ้าดีกว่า ใช้แผนนี้นะพระราชาทรงตรัสสอบถามพญาแร้งถึงสาเหตุที่ได้ขโมยเสื้อผ้าของชาวบ้านเจ้าพญาแร้งมันไม่รู้หรอก” “เอ้า..ถ้าอย่างนั้นก็ลงมือกันเลยซิพวกเรา” วันต่อมาพญาแร้งก็ต้องกลอุบายถูกบ่วงรัดจนชาวพระนครจับได้ เมื่อนำไปถวายให้พระเจ้าแผ่นดินลงพระอาญา เศรษฐีก็ตามเข้าเฝ้าด้วยเพราะความห่วงใยพญาแร้ง เกรงว่าจะถูกฝูงชนรังแก “พวกท่านจะนำพญาแร้งไปที่ไหนเหรอ”พญาแร้งได้เล่าถึงสาเหตุที่ตนและเหล่าบริวารต้องกระทำการขโมยเสื้อผ้า“อ้าว ถามได้ก็นำไปถวายพระเจ้าพรหมทัตให้ลงอาญานะซิ” “ถ้าอย่างนั้นนะ รอเราด้วย เราขอไปกับพวกท่านด้วย” เมื่อพระราชาเสด็จออกทอดพระเนตร จึงตรัสถามเอาความจริงกับพญาแร้ง “พวกเจ้าปล้นเมืองคาบผ้าไปหรืออย่างไร” “ใช่แล้วพระเจ้าคะ” “ทำไมต้องทำอย่างนั้นล่ะ” “ข้าแต่มหาราช ข้าและบริวารทำการขโมยก็จริงแต่ก็เพื่อนำไปให้ท่านเศรษฐี พระเจ้าค่ะ”ท่านเศรษฐีได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ตนเคยช่วยชีวิตฝูงแร้งเอาไว้ต่อพระเจ้าพรหมทัต“ห๊า...เอาไปให้ท่านเศรษฐีรึ” “ทำไมล่ะ ทำไมต้องเอาไปให้ท่านเศรษฐีด้วย” “เจ้าทำเช่นนั้นเพราะเหตุใดรึ” “ท่านเศรษฐีเคยช่วยชีวิตข้าและบริวารไว้ การทำอุปการะตอบแทนย่อมสมควรพระเจ้าคะ” พระราชาฟังแล้วก็ตรัสชมเชยในแรงกตัญญู อีกทั้งทรงถามเรื่องสงสัยประการหนึ่ง “เราได้ยินว่าสายตาแร้งนั้น มองได้ไกลเป็นร้อยโยชน์ท่านเศรษฐีได้นำเสื้อผ้าทั้งหมดส่งคืนชาวเมืองพาราณสีครบถ้วนทุกครัวเรือนแต่ทำไมไม่เห็นบ่วงที่เค้าดักไว้เล่า” “เกิดแต่กรรมพระเจ้าคะ เมื่อสัตว์มีความเสื่อม ถึงเข้าใกล้กับดักก็มิอาจรู้ได้” เมื่อพระเจ้าพรหมทัตสอบถามมหาเศรษฐีว่าตรงกันแล้ว ก็ทรงตัดสินให้ปล่อยพญาแร้งไป “เสื้อผ้าอาภรณ์ทั้งหลายนั้น ข้าพระองค์จะนำคืนเจ้าของให้ครบถ้วน” “อืม..ดีๆๆ ถ้าอย่างนั้นก็จบเรื่องนี้ไป”เมืองพาราณสีกลับสู่ภาวะปกติสงบเรียบร้อยดังเดิม“ถวายพระพรลาพระเจ้าคะ” กาลนั้นเศรษฐีแห่งพาราณสีก็เร่งจัดเอาอาภรณ์พรรณที่คัดแยกไว้เอาออกไปคืนให้ชาวเมืองทุกคน เรื่องราวแห่งกตเวทีของพญาแร้งก็ได้รับการบอกเล่ากล่าวขานไว้อบรมบุตรธิดากันทุกครอบครัว “ฮึบ เสื้อผ้าตั้งเยอะตั้งแยะ พวกแร้งมันขยันคาบมาทุกวันจริงๆ ชั่งกตัญญูแท้ๆ เลย”พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเล่าชาดกจบลงก็ทรงแสดงอริยสัจโดยเอนกปริยายพญาแร้งทำการขอบคุณเศรษฐี ถวายบังคมลาพระเจ้าพรหมทัต แล้วก็โผบินสู่ขุนเขาคิชฌบรรพตเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดาและปกครองบริวารต่อไป ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาทจนสิ้นอายุขัยจากโลกไป สมเด็จพระพุทธศาสดา จบพระธรรมเทศนาคิชฌชาดกไว้ดังนี้ ทรงแสดงอริยสัจ เป็นเอนกภิกษุผู้เลี้ยงดูบิดามารดาก็ตั้งอยู่ในธรรมอันประเสริฐในพุทธสมัย พระราชาพรหมทัต กำเนิดเป็น พระอานนท์เศรษฐีแห่งพาราณสี กำเนิดเป็น พระสารีบุตรพญาแร้งผู้รู้บุญคุณ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
http://goo.gl/tAmWb