ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาของการเตรียมตัวศึกษาต่อ ทั้งระดับปริญญาตรีและปริญญาโท เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็คงมุ่งหมายเมียงมองไปที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ ถ้าในประเทศก็คงหนีไม่พ้นมหาวิทยาลัยที่สำนักคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จัดอันดับให้อยู่ในระดับดีเลิศ ดีเยี่ยม และดี (แต่จัดกันอย่างไรไม่ทราบสกอ.ถึงได้รับก้อนอิฐแทนดอกไม้)

แต่ถ้านอกประเทศก็ต้องเป็นมหาวิทยาลัยในประเทศตะวันตกทั้งหลายโดยเฉพาะในอังกฤษและอเมริกา ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

บทความนี้เขียนขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ที่จะแนะนำมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาให้ได้รู้จักกัน แต่เชื่อว่าถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัยในสหรัฐ แล้ว คงมีน้อยคนนักที่จะนึกถึงหรือแม้แต่เคยได้ยินชื่อ "มหาวิทยาลัยนาโรปะ"

ส่วนใหญ่คงคุ้นหูกับกิตติศัพท์ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ เยล และฮาร์วาร์ด มากกว่า ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือผิดแต่อย่างใด

แต่เชื่อได้ว่าผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาโรปะเองก็คงไม่ปรารถนาจะให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้อยู่ใน "สถานะ" เดียวกับมหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านั้นเป็นแน่

มหาวิทยาลัยนาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ ตั้งอยู่กลางเมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งโดย ชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช นักบวชชาวทิเบต

ท่านชอเกียมไม่เพียงเป็นนักบวชในร่มเงาพระพุทธศาสนา แต่ยังเป็นศิลปิน นักวิชาการ นักปรัชญา และเป็นบัณฑิตสาขาศาสนาเปรียบเทียบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษด้วย

หลังจีนเข้ายึดทิเบตในปี พ.ศ.2509 ท่านชอเกียมได้ลี้ภัยไปยังอินเดีย โดยในระหว่างนี้ท่านได้เผยแพร่ธรรมะอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ได้รับทุนการศึกษาจากอ๊อกซ์ฟอร์ด

หลังเรียนจบในปี 2513 เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สหรัฐอเมริกายาวนานถึง 17 ปี จนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในประเทศตะวันตก และมีกำลังเพียงพอที่จะก่อตั้งมหาวิทยาลัยนาโรปะ ขึ้นได้ในปี พ.ศ. 2517


คำว่า "นาโรปะ" นั้นเป็นนามของมหาโยคีผู้มีชื่อเสียงแห่งอินเดีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในราวปี พ.ศ.1543-1643

มหาวิทยาลัยนาโรปะเป็นมหาวิทยาลัย "ทางเลือก" ที่เลือกเดินไปคนละทางกับคอร์เนลล์ เยล ฮาร์วาร์ด และแม้แต่อ๊อกซ์ฟอร์ด โดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เพราะนาโรปะไม่มุ่งวัตถุ แต่มุ่งไปที่จิตวิญญาณ ไม่มุ่งการวิ่งตามโลกาภิวัตน์ แต่มุ่งการภาวนา ไม่มุ่ง MBA แต่มุ่งศิลปะแขนงต่างๆ

นาโรปะไม่เรียนรู้อย่างแยกส่วน แต่เรียนรู้ทั้งองค์รวมนาโรปะไม่เน้นการเรียนรู้ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ที่เรียกว่า "ห้องเรียน" แต่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวอยู่ตลอดเวลา

นาโรปะไม่หวังให้มนุษย์เรียนรู้โลกและใช้ประโยชน์จากโลก แต่หวังให้เรียนรู้โลกเพื่อตอบสนองต่อโลกอย่างสร้างสรรค์ นาโรปะไม่ต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติเพื่อเอาชนะธรรมชาติ แต่ต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ธรรมชาติเพื่ออ่อนน้อมต่อธรรมชาติ

นาโรปะไม่เคารพภาคทฤษฎีมากเท่ากับการเคารพในประสบการณ์ตรงของผู้เรียน นาโรปะไม่เชื่อว่าอาจารย์ผู้สอนจะถูกต้องที่สุดและรู้ดีที่สุด แต่เชื่อว่าทั้งอาจารย์และนักศึกษาสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้

นาโรปะไม่สอนเพื่อเพิ่มพูน "อัตตา" บัณฑิต แต่สอนเพื่อให้บัณฑิตรู้วิธี "ฆ่า" อัตตาให้สิ้นซาก นาโรปะไม่หวังว่าบัณฑิตที่จบออกไปจะเติบโตทางธุรกิจ แต่หวังให้บัณฑิตเติบโตจาก "ด้านใน" ของตน

นาโรปะไม่สอนให้ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ๆ ล้ำยุค แต่สอนให้ชื่นชมและสืบทอดภูมิปัญญาดั้งเดิมของบรรพชน นาโรปะไม่สอนให้เราเชื่อความรู้ในตำรา

แต่สอนให้น้อมรับความรู้มาพิจารณาอย่างแยบคาย หรือที่ศาสนาพุทธเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" ก็คือการคิดไตร่ตรองอย่างเชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผลนั่นเอง


และท้ายที่สุด นาโรปะไม่หวังให้มนุษย์เท่าทันโลก แต่หวังให้เท่าทันตัวเอง ณ ปัจจุบันขณะ ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาแนวภาวนา

สำหรับผู้ที่สงสัยว่านาโรปะมุ่งในวิถีตะวันออกและความเชื่อในแนวทางของศาสนาพุทธ แล้วจะตั้งอยู่ในประเทศทุนนิยม บวกบริโภคนิยมที่ผู้คนนับถือพระเจ้าเป็นที่สุดของชีวิตอย่างสหรัฐอเมริกาได้อย่างไร

คำตอบก็คือ เพราะนาโรปะมิได้ปฏิเสธวิถีตะวันตก แต่เปิดกว้างสำหรับวิธีคิดที่แตกต่าง ถ้าใครรู้จักมหาวิทยาลัยวิศวภารตี-ศานตินิเกตัน ของ ท่านรพินนารถ ฐากูร ในประเทศอินเดียก็อาจจะเข้าใจความเป็นนาโรปะมากขึ้น

ทั้งสองมหาวิทยาลัยมิเพียงเรียนรู้และสืบสานวิถีแห่งตะวันออก แต่ยังส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม ผ่านความเชื่อและปรัชญาที่แตกต่างหลากหลายด้วย ทั้งนี้เพื่อมองหา "จุดร่วม" ที่มนุษยชาติมีร่วมกัน จึงไม่แปลกถ้าไปนาโรปะแล้วได้เห็นนักศึกษาตะวันตกที่เป็นคริสต์ศาสนิกชนนั่งภาวนากำหนดลมหายใจอยู่ที่นี่

นาโรปะไม่ใช่มหาวิทยาลัยเถื่อน แต่เป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับการรับรองวิทยฐานะจากสหรัฐอเมริกาว่าเป็น "มหาวิทยาลัย" อย่างแท้จริง เปิดสอนทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และประกาศนียบัตร

ผู้ที่สนใจจะศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่มีการสอบเอ็นทรานซ์หรือแอดมิชชั่น ขอเพียงแค่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษได้ในระดับหนึ่ง อ่านหนังสือได้มีทัศนคติที่เป็นบวกและพร้อมจะเปิดเผย (แต่ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความรุนแรง การกดดัน การมองกันในแง่ร้าย และการประทุษร้ายซึ่งกันและกัน บางทีสำหรับมนุษย์แล้วการมีทัศนคติในแง่บวกอาจยากกว่าการทำข้อสอบทางวิชาการก็เป็นได้)

ปัจจุบันนาโรปะมีนักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งคนไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อครั้งที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยังมีสถานะเป็นสถาบันราชภัฏอยู่นั้น สภาสถาบันราชภัฏเคยมีความคิดจะดึงพุทธธรรมเข้ามาประยุกต์ใช้ในการสอน และตั้งใจจะบรรจุไว้ในปรัชญาและพันธกิจของ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏด้วย โดยในครั้งนั้น ดร.ถนอม อินทรกำเนิด เลขาสภาสถาบันราชภัฏ ยังได้กล่าวอ้างถึงมหาวิทยาลัยนาโรปะด้วยว่า

"แนวทางของมหาวิทยาลัยนาโรปะ หากศึกษาให้ถ่องแท้สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการกำหนดทิศทางใหม่ของมหาวิทยาลัยราชภัฏได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกระบวนการผลิตครู เพราะนาโรปะมีกรอบพันธกิจและวิสัยทัศน์ที่สะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการผลิตบัณฑิต ให้พร้อมออกไปเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมสมัยใหม่โดยใช้ศีลธรรมและพุทธปัญญาของการอยู่ร่วมกัน มีการทำงานรวมกันเป็นชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของมหาวิทยาลัยราชภัฏที่เน้นสอนให้บัณฑิตมีสำนึกในการรับใช้สังคมด้วยวิถีของจิตวิญญาณอย่างแท้จริงอยู่แล้ว"

แต่ในที่สุดก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 ได้ชูธงที่จะเป็น "สถาบันอุดมศึกษาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น" ซึ่งก็ถือเป็นปรัชญาที่เหมาะสมสอดคล้องกับเอกลักษณ์และศักยภาพของราชภัฏอยู่ไม่น้อย

เนื่องจากเป็นมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในชุมชน และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชนท้องถิ่นมากกว่าสถาบันอุดมศึกษาอื่น

กระนั้นก็ยังหวังว่า ประเทศไทยจะมีมหาวิทยาลัยที่จัดการศึกษาด้วยหลักไตรสิกขาอย่างแท้จริงสักที หรืออย่างน้อยที่สุดก็หวังว่ากระทรวงศึกษาธิการจะเล็งเห็นความสำคัญของการจัดการศึกษาแนวพุทธไม่น้อยไปกว่าที่ให้ค่ากับ "ความเป็นเลิศทางวิชาการ"

เพราะโลกวันนี้ขาดแคลนและต้องการ "คนดี" มากกว่า "คนเก่ง"
 
 
 
 
ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง