ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้ไม่นาน "พิศาล จอโภชาอุดม" เริ่มยอมรับแล้วว่า งานในตำแหน่งนี้ต้องใช้ความสามารถ และความรอบรู้สูงมากขนาดไหน

เพราะนอกจากจะบริหารจัดคนให้มีประสิทธิภาพตรงกับงานที่ทำอยู่แล้ว ยังต้องรับผิดชอบเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่คั่งค้างอยู่เป็นจำนวนมากให้ประสบความสำเร็จด้วย

โดยเฉพาะการเจรจาหาทางออกเรื่องการดำเนินงานด้านการตลาด โทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเอ ภูมิภาค กับบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอทีไวร์เลส มัลติมีเดีย จำกัด หรือฮัทช์ ผู้ดำเนินงานด้านการตลาดโทรศัพท์เคลื่อนที่ซีดีเอ็มเอ ภาคกลาง ยังไม่มีทีท่าว่าจะหาข้อสรุปร่วมกันได้ จนทำให้ กสท ไม่สามารถเดินหน้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซีดีเอ็มเอ ภูมิภาคได้อย่างเต็มที่

เจ้าตัวก็ยอมรับว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่ที่จะต้องแก้ไขให้ได้โดยเร็ว เพราะตอนนี้ บริษัท หัวเหว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ชนะการประมูลติดตั้งอุปกรณ์โครงข่ายให้กับ กสท ได้วางโครงข่ายโทรศัพท์มือถือซีดีเอ็มเอ ภูมิภาค เสร็จไปแล้ว 1,600 สถานีฐาน

ดังนั้น เมื่อการวางโครงข่ายเสร็จทั้ง 2 ระยะ กสท ก็พร้อมที่จะทำการตลาดอย่างเต็มที่ทันที แต่ก็ติดตรงที่ยังมีปัญหาเรื่องการดำเนินงานด้านการตลาดกับฮัทช์ หากสามารถแก้ไขในเรื่องนี้ได้แล้ว กสท ก็จะสามารถเดินหน้าตามแผนงานที่กำหนดได้ และจะทำให้ทุกเรื่องที่ยังเป็นปัญหาอยู่สามารถแก้ไขได้ง่ายมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องของการจ่ายค่าเชื่อมต่อเครือข่าย (แอ็คเซ็สชาร์จ) จำนวน 200 บาท/เลขหมาย/เดือน ระหว่างบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือดีแทค และบริษัท ทรูมูฟ จำกัด กับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ที่จะต้องหาทางออกให้ได้โดยเร็ว แต่เรื่องนี้คงจะไม่ยากลำบากมากนัก เพราะหากศาลปกครองพิจารณาออกมาในรูปแบบใดก็คงต้องดำเนินการไปตามนั้น


หากพิจารณาจากความรู้ความสามารถของกรรมการผู้จัดการใหญ่คนนี้ หลายคนคงจะให้ความเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำพา กสท องค์กรใหญ่ก้าวไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะด้วยวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีถึง 3 สถาบัน คือ คณะรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง วิศวกรรมศาสตร์ (วิศวกรรมไฟฟ้าสื่อสาร) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พร้อมทั้งดีกรีปริญญาโทคณะพาณิชยศาสตร์ (บริหารธุรกิจ) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประกอบกับได้ทำงานอยู่ใน กสท มาตั้งแต่สมัยที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายแผนงานและพัฒนา การสื่อสารแห่งประเทศไทย จนเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ (สายงานบริหาร) และรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท หลายคนจึงเชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และรู้จัก กสท มากที่สุด

สำหรับคติในการทำงานของพิศาล ก็คือ พยายามให้มีสติสัมปชัญญะตลอดเวลา เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่ขาดสติ โอกาสที่งานจะผิดพลาดก็จะสูงมากยิ่งขึ้น

ก่อนได้เข้ารับตำแหน่งนี้ พิศาลยอมรับว่า ไม่เคยรู้ตัวมาก่อน เพราะในชีวิตไม่เคยคาดหวังเลยว่าจะได้เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท แต่เมื่อเข้ามาแล้วก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด จนบางครั้งก็เกิดความเครียดบ้าง วิธีที่ดีที่สุดที่ใช้ผ่อนคลายในตอนนี้ คือการฝึกสมาธิ ด้วยการสวดมนต์ และไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ

เพราะนอกจากจะทำให้จิตใจสงบ และเข้มแข็งมากขึ้นแล้ว ยังทำให้รู้สึกถึงการปล่อยวางกับชีวิตด้วย ตรงกับความจริงของชีวิตที่ว่า เมื่อจิตใจดี ก็จะช่วยให้งานดีขึ้นด้วย อุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็จะสามารถแก้ไขไปได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ก็จะต้องหมั่นบริหารร่างกายให้แข็งแรง พร้อมสู้งานอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยจากความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่แปรปรวนตลอดเวลาอย่างในตอนนี้ด้วย

แต่หากไม่มีเวลาออกไปปฏิบัติธรรมนอกบ้านก็จะใช้เวลาที่มีอยู่อ่านหนังสือ หรือฟังซีดีธรรมมะ สลับกันไป เพราะการทำแบบนี้บ่อยๆก็จะช่วยให้เกิดสมาธิได้เช่นเดียวกัน

พิศาลยังบอกด้วยว่า การเข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นเหมือนการชดใช้กรรม เพราะการเข้ามาเป็นผู้นำขององค์กร ก็คือ ผู้ถูกใช้ ที่จะต้องทำให้พนักงานที่อยู่ประมาณ 5,000 คน มีความสุขในหน้าที่การงาน เพื่อให้งานมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อพัฒนาองค์กรให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

ตอนนี้ กสท ยังเป็นหน่วยงานของรัฐ หากสามารถเดินหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว ก็จะช่วยพัฒนาประเทศให้เติบโตด้วย

"ก่อนและหลังเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ชีวิตเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย เพราะก่อนเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ อยากทำอะไรก็ทำได้ มีเวลาว่างเยอะ แต่พอเข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว จะทำอะไรก็ลำบาก เพราะไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย ทุกอย่างต้องมุ่งไปที่งานเพียงอย่างเดียว ถ้าใครบอกว่าตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งสบาย ผมว่าไม่จริง เพราะตำแหน่งยิ่งสูงความรับผิดชอบก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย"

แม้จะไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ด้วยภาระหน้าที่เพิ่มมากขึ้น แต่เรื่องของครอบครัวก็สำคัญไม่น้อยที่จะต้องแบ่งปันให้กันเมื่อมีเวลาว่าง จึงไม่มีปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจกันเกิดขึ้น

หากวันไหนไม่มีงาน ก็มีบ้างที่จะขับรถออกไปเที่ยวต่างจังหวัด ส่วนใหญ่จะชอบไปทุกที่ ไปได้หมด ไม่ว่าจะเป็นทะเล หรือภูเขา เพราะถ้าไปกับครอบครัว แล้วก็จะไปได้ทุกที่ ไม่เกี่ยงอยู่แล้ว

ส่วนพาหนะคู่ใจที่ใช้เดินทางอยู่เป็นประจำเวลาออกนอกบ้าน ก็จะเป็นรถกระบะ 4 ประตูคู่ใจครอบครัว ยี่ห้อโตโยต้า ติดหลังคา พร้อมที่จะขนทุกคนไปเที่ยวด้วยกัน

แต่ตอนนี้รู้สึกว่าจะเบื่อคันเดิม จึงคิดที่จะเปลี่ยนคันใหม่แล้ว เพราะใช้กันมานาน โดยให้ภรรยาเป็นคนเลือก ก็เสนอให้ซื้อ ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ก็คงจะเร็วๆ นี้จะไปเลือกซื้อด้วยกัน

หลักการเลือกซื้อรถคันใหม่ก็ไม่มีอะไรมาก เอาเป็นว่าถูกใจ สีอะไร ทะเบียนอะไร ก็ได้ทั้งนั้น ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะประโยชน์ของรถยนต์ อยู่ที่การใช้งานเท่านั้น

หากถามว่ารถคนนี้เป็นคันที่เท่าไหร่แล้ว ก็ต้องตอบว่าเป็นคันที่ 6-7 แล้ว โดยคันแรกเป็นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด ต่อด้วยมิตซูบิชิ โตโยต้า ฮอนด้า และกลับมาโตโยต้าอีกครั้ง

การที่มีรถยนต์มาหลายยี่ห้อ ก็ทำให้รู้จักรถพอสมควร ดังนั้น การใช้งานรถจึงต้องหมั่นบำรุงรักษาให้มีสภาพดีตลอดเวลาด้วย

และนี่ก็คือหนึ่งมุมมอง และการใช้ชีวิตนอกเวลางานของผู้บริหารคนใหม่ แต่หน้าเก่า ที่ให้แง่คิดดีๆ สามารถนำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน 
 
 
 
 
 
ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง