ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ.2555
				Case Study กรณีศึกษากฎแห่งกรรม
				
			
				 
			
				มหาเสนาบดี ผู้ยิ่งใหญ่ ตอนที่ 19
			
				
					เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
					 
				
					 
				
					ฝันในฝัน
					หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมาหาว 1 ที
					แล้วนำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรา
			 
		 
		
			 
		
			 
		
			       
		
			        สำหรับสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้รู้สึกไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับความขยันของท่านมหาเสนาบดีนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ แม่ทัพภาคท่านนี้เป็นคนที่มีปริมาณความขยันอยู่ในระดับที่สูงน้อย หรือมีเส้นกร๊าฟของความขยันนอนราบไปกับพื้น คือเป็นคนที่ขี้คร้าน ด้วยเหตุนี้เอง แม่ทัพภาคท่านนี้จึงไม่ค่อยได้ทำงานสักเท่าไหร่ นอกจากตัวท่านจะไม่ค่อยได้ทำงานทำการแล้ว ตัวท่านยังรู้สึกขัดอกขัดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้เห็นคนที่ขยันทำงานเกินหน้าเกินตาตัวท่านอีกด้วย
		
			 
		
		
			 
		
			แม่ทัพภาคท่านนี้ รู้สึกไม่ค่อยชอบความขยันของท่านมหาเสนาบดีสักเท่าไหร่
		
			 
		
			 
		
			        แต่ด้วยความที่ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้มีเส้นมีสายดี คือได้รับการสนับสนุนจากเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งในเมืองหลวง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองจึงทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้ ได้รับการแต่งตั้งให้มาเป็นผู้บัญชาการกองทัพอยู่ที่เขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้ ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ได้มาประจำการอยู่ที่เขตหัวเมืองแห่งนี้ กองกำลังทหารที่ประจำการอยู่ภายในเขตหัวเมืองชายแดน ก็เกิดความอ่อนแอและขาดระเบียบวินัยมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นมีการออกไปหารายได้พิเศษ ด้วยการรับจ้างปลอมตัวเป็นโจรเพื่อออกมาปล้นพวกชาวบ้าน
		
			 
		
		
			 
		
			เมื่อท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ได้มาประจำการ กองกำลังทหารมีความอ่อนแอและขาดระเบียบวินัยมาก
		
			 
		
			 
		
			        แต่พอท่านมหาเสนาบดีได้มาประจำการอยู่ที่เขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้แล้ว ตัวท่านก็ได้ทราบถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในกองทัพ ที่ประจำการอยู่ที่หัวเมืองแห่งนั้น เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบความจริงเช่นนั้น ตัวท่านก็เกิดความรู้สึกปริวิตกและเป็นกังวลขึ้นมาในใจว่า “ณ ช่วงเวลาที่กองกำลังทหารในเขตหัวเมืองชายแดนกำลังตกอยู่ในภาวะอ่อนแอและเปราะบางเช่นนี้ ถ้าหากทางแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ หรือแคว้นของพระราชบิดาของพระราชาเกะกะเกเร เกิดคิดรุกรานและยกทัพเข้ามาบุกแล้วละก็ กองกำลังทหารในเขตหัวเมืองชายแดนแห่งนี้ คงไม่อาจที่จะรับมือ หรือต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแน่นอน”
		
			 
		
		
			 
		
			ท่านมหาเสนาบดี ได้รีบพัฒนาระบบต่างๆ ภายในกองทัพให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นระเบียบมากขึ้น
		
			 
		
			        เมื่อท่านมหาเสนาบดีเล็งเห็นถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกองทัพแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงไม่รอช้าได้รีบพัฒนาระบบต่างๆ ภายในกองทัพให้มีความเข้มแข็งและมีความเป็นระเบียบมากขึ้นในทันที ไม่ว่าจะเป็นจัดตั้งหน่วย ฉก. เฉพาะกิจที่ขึ้นกับท่านโดยตรง และฝึกซ้อมกองกำลังทหารในกองทัพให้เข้มแข็งและพร้อมรบอยู่เสมอ เป็นต้น
		
			 
		
			 
		
			        และเมื่อท่านมหาเสนาบดีได้ทราบว่า ท่านแม่ทัพภาคเริ่มรู้สึกไม่พอใจในการทำงานที่ขยันขันแข็งแบบเกินหน้าเกินตาตัวท่านแม่ทัพภาคแล้ว ท่านมหาเสนาบดีจึงไม่รอช้า ได้รีบไปทำการชี้แจงแสดงเหตุผลเกี่ยวกับการพัฒนางานด้านต่างๆ ในกองทัพให้แม่ทัพภาคท่านนี้ฟังอย่างละเอียด
		
			 
		
		
			 
		
			ท่านมหาเสนาบดีได้รีบไปทำการชี้แจงให้แม่ทัพภาคท่านนี้ฟังอย่างละเอียด
		
			 
		
			        และด้วยความที่ทุกๆ เหตุผล ทุกๆ ถ้อยคำที่ท่านมหาเสนาบดีได้กล่าวกับท่านแม่ทัพภาค ล้วนกลั่นออกมาจากใจและเป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อกองทัพอย่างแท้จริง ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง จึงทำให้ท่านแม่ทัพภาคท่านนี้ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะยกขึ้นมาโต้แย้งท่านมหาเสนาบดีได้เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ทัพภาคจึงจำใจและจำยอมที่จะต้องอนุมัติในทุกๆ สิ่งที่ท่านมหาเสนาบดีได้นำเสนอมานั่นเอง
		
			 
		 
		
			        และด้วยความขยันขันแข็ง มุ่งมั่น และเอาจริงเอาจังในการพัฒนางานด้านต่างๆ ภายในกองทัพของท่านมหาเสนาบดีนี่เอง จึงส่งผลทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้อดรนทนไม่ได้ต้องรีบทำตัวเองให้ตื่นตัวอยู่เสมอ และขยันขันแข็งตามท่านมหาเสนาบดีไปด้วย 
		
			 
		
		
			 
		
			แม่ทัพภาคท่านนี้จึงตื่นตัว และขยันขันแข็งตามท่านมหาเสนาบดีไปด้วย
		
			 
		
			        ส่วนสาเหตุที่ทำให้แม่ทัพภาคท่านนี้ ต้องรีบทำตัวให้ตื่นตัวอยู่ตลอดนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ แม่ทัพภาคท่านนี้กลัวว่า ตัวเองจะถูกเลื่อยขาเก้าอี้ หรือพูดให้ชัดๆ ก็คือตัวท่านกลัวว่า “ตำแหน่งของตัวท่านอาจจะหลุดลอยไปอยู่กับท่านมหาเสนาบดี ซึ่งเป็นนายทหารรุ่นน้องที่มีไฟแรง ชนิดแรงดีไม่มีตก อีกทั้งยังเป็นนายทหารที่มีอานุภาพที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย เพราะมีดีกรีเป็นถึงนายทหารคนสนิทของพระราชโอรสเลยทีเดียว”
		
			 
		
			 
		
			        ในระหว่างที่ท่านมหาเสนาบดีกำลังพัฒนากองกำลังทหารในกองทัพ ให้มีความเข้มแข็งมากขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่นั้น ก็พลันมีคำสั่งด่วนจากทางส่วนกลาง เรียกตัวท่านมหาเสนาบดีให้กลับเข้าไปยังวังหลวงอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการถูกเรียกตัวกลับไปยังวังหลวงในครั้งนี้ ท่านมหาเสนาบดีก็ได้รับมอบหมายภารกิจที่สำคัญจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นั่นก็คือ การทำหน้าที่คุ้มกันพระราชโอรส ในระหว่างการเสด็จเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ หรืออาจเรียกได้ว่า ท่านมหาเสนาบดีต้องทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ดนั่นเอง
		
			 
		
		
			 
		
			มีคำสั่งด่วนจากทางส่วนกลาง เรียกตัวท่านมหาเสนาบดีให้กลับเข้าไปยังวังหลวงอีกครั้งหนึ่ง
		
			 
		
			 
		
			        สำหรับเจ้าของแนวคิด เรื่องการส่งพระราชโอรสให้ไปเป็นราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ โดยให้ท่านมหาเสนาบดีทำหน้าที่คุ้มกันดูแลความปลอดภัยนั้น ทั้งนี้ก็เป็นความคิดของเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เคยทักท้วง หรือแย้งไม่ให้ท่านมหาเสนาบดี ได้มารับตำแหน่งแม่ทัพที่คุมกำลังทหารในเมืองหลวงนั่นเอง 
		
			 
		
		
			 
		
			ด้วยความคิดของเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ที่เคยแย้งไม่ให้ท่านมหาเสนาบดี ได้มารับตำแหน่งแม่ทัพที่คุมกำลังทหารในเมืองหลวง
		
			 
		
			 
		
			        โดยเสนาบดีผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างสวยหรูว่า “การส่งพระราชโอรสเป็นราชทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือนั้น ถือได้ว่าเป็นการให้เกียรติอย่างสูงสุด อีกทั้งยังจะทำให้สัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นเกิดขึ้นได้โดยง่าย และเมื่อทั้งสองแคว้นมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันแล้ว ก็จะทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างแคว้นเป็นไปได้โดยสะดวกยิ่งขึ้น”
		
			 
		
		
			 
		
			เสนาบดีผู้ใหญ่ท่านนี้ ก็ได้ให้เหตุผลสนับสนุนความคิดของตัวเองอย่างสวยหรู
		
			 
		
			 
		
			        และก่อนที่ท่านมหาเสนาบดีจะเดินทางกลับไปยังเมืองหลวง เพื่อเตรียมปฏิบัติการภารกิจพิเศษสำคัญนั้น ท่านมหาเสนาบดีก็ได้เรียกประชุมเหล่าบรรดาขุนพลนายทหาร ที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของตัวท่าน เพื่อสั่งการและมอบหมายงานให้นายทหารแต่ละคนคอยควบคุมดูแลกองกำลังทหารหน่วยต่างๆ ในเขตหัวเมืองที่ตัวท่านประจำการอยู่ ซึ่งก็คือเขตหัวเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนือ
		
			 
		
		
			 
		
			ท่านมหาเสนาบดีก็ได้เรียกประชุมเหล่าบรรดาขุนพลนายทหาร
		
			 
		 
		
			        จากนั้นท่านมหาเสนาบดี ก็ได้จัดวางระบบในการติดต่อสื่อสารและส่งข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว เพื่อที่ตัวท่านจะได้รับทราบถึงความเคลื่อนไหวและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในเขตหัวเมืองแห่งนี้ ซึ่งก็คือเขตหัวเมืองชายแดนที่อยู่ติดกับแคว้นกันชนฝั่งทิศเหนืออยู่ตลอดเวลา
		
			 
		
		
			 
		
			ท่านมหาเสนาบดี ก็ได้จัดวางระบบในการติดต่อสื่อสารและส่งข่าวสารที่รวดเร็วฉับไว
		
			 
		
			        เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้จัดวางระบบการควบคุมดูแลกองกำลังทหาร และการติดต่อประสานงานทุกอย่างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านมหาเสนาบดีก็ไม่รอช้า ได้รีบออกเดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้นในทันที
		
			       
		
			        ส่วนว่า เมื่อท่านมหาเสนาบดีได้เดินทางมาถึงที่เมืองหลวงของแคว้นแล้ว เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร เราก็คงจะต้องมาติดตามกันในตอนต่อไป