กรุงเทพธุรกิจออนไลน์์ : สมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ดูแลเวบไทย และสมาคมโฆษณาธุรกิจ ร่วมลงนาม ต่อต้านการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลบนบริการอินเทอร์เน็ตผ่าน www.hotline.in.th โดยต้องการนำมาตรการดูแลกันเอง ของคนในสังคมอินเทอร์เน็ตมาใช้ แต่ไม่ได้ดูแลเฉพาะด้านสังคมเท่านั้น หากยังมีมาตรการทางธุรกิจเข้ามาเสริมด้วย
"แบน" เวบสกปรก
นายวิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย
กล่าวว่า สมาคมจะสนับสนุนหาโฆษณามาลงให้แก่เวบไซต์ที่ให้ความร่วมมือ
ซึ่งใครหลีกเลี่ยงก็จะไม่สนับสนุนโฆษณา
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้ร่วมลงนาม
แต่เป็นเวบสะอาดก็จะไม่ถูกแบน
ตรงกันข้ามถ้าเวบใดที่สกปรกก็จะส่งข้อมูลแจ้งเอเยนซีรายสำคัญของประเทศ
ที่เป็นสมาชิกของสมาคมฯ โดยเวบที่ร่วมมือ จะได้รับพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
ให้เป็นอันดับแรกๆ
ทั้งนี้
ปัจจุบันไม่สามารถระบุตัวเลขการโฆษณาออนไลน์ได้
เพราะยังไม่มีการสำรวจอย่างเป็นทางการ
ซึ่งการโฆษณาออนไลน์ยังคงกระจัดกระจาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้
สำนักวิจัยในสหรัฐอเมริกาได้ออกมาประเมินตัวเลขโฆษณาออนไลน์ทั่วโลกว่าปี
2554 จะมีมูลค่าราว 1.3 ล้านล้านบาท (36.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ
อัตราแลกเปลี่ยนที่ 35 บาท) และมีแนวโน้มการเติบโตขึ้น 87% ภายใน 5 ปี
ระหว่างปี 2550-2554
ความร่วมมือครั้งนี้
ถือเป็นการจับมือระหว่างภาคเอกชน
เพื่อสร้างสังคมอินเทอร์เน็ตที่มีจริยธรรม ธรรมาภิบาล โดยไม่ต้องรอกฎหมาย
แต่จะช่วยขจัดภัย
และความเลวร้ายของสังคมออนไลน์ที่นับวันจะมีผลต่อคนส่วนใหญ่มากขึ้น
นอกจากนี้ มาตรการทางกฎหมาย
หรือให้ภาครัฐออกมาเคลื่อนไหวก็ทำได้ยาก
เพราะอาจกระทบต่อความสัมพันธ์กับต่างประเทศ หรือการค้าระหว่างประเทศได้
ระบุที่ผ่านมา ก.ม.คลุมไม่ถึง
นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการ
และหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า
หลังจากอินเทอร์เน็ตเริ่มให้บริการจริงจัง ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการสื่อสาร
รวมถึงการค้นคว้าหาข้อมูล และการส่งต่อให้อีกฝ่าย
"สังคมอินเทอร์เน็ตมีทั้งแง่ดี และไม่ดีแฝงอยู่
และมีผู้หาผลประโยชน์ในทางมิชอบที่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลให้ข้อความเท็จ
ตัดต่อภาพ ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายอยู่แล้ว" นายอธึก กล่าว
ทั้งนี้ บางแง่มุมก็อาจใช้ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง
แต่เมื่อเปิดเผยออกมาแล้ว ก็ทำให้เกิดความกระอักกระอ่วน อับอายขายหน้า
ซึ่งสิทธิส่วนบุคคลเหล่านี้ กฎหมายครอบคลุมไม่ถึง เช่น คลิปแต่งตัวในห้าง
ถ่ายรูปใต้กระโปรง เป็นเรื่องที่สังคมรับรู้มานาน แต่การกระทำความดี
ไม่ควรต้องรอให้รัฐบาลมาออกกฎ ความร่วมมือครั้งนี้จึงเกิดขึ้น
ขณะที่ นายปรเมศว์ มินศิริ
นายกสมาคมผู้ดูแลเวบไทย กล่าวว่า
การลงนามครั้งนี้มีผู้ให้บริการเวบไซต์เข้าร่วม 4 ราย คือ พันทิป กระปุก
สนุก และสีแดงดอทคอม แต่เดือนกันยายนที่จะถึงนี้
จะมีการจัดประชุมสมาคมผู้ดูแลเวบไทย ที่ขณะนี้มีสมาชิก 70% อยู่ใน
เวบไซต์ท็อป 100 ของไทย ครอบคลุม 90% ของผู้ดูเวบ จึงคาดว่า
สมาชิกที่เหลือจะทยอยร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วย
เปิดเวบแจ้งเบาะแส
ก่อนหน้านี้ ทั้งไอเอสพี และเวบไซต์ต่างๆ
ก็ตรวจสอบข้อความ หรือภาพที่ปรากฏ หากพบผิด
หรือละเมิดสิทธิส่วนบุคคลก็จะปลด หรือถอดออกอยู่แล้ว การลงนามที่เกิดขึ้น
เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกทางหนึ่ง
หากพบการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล หรือการกระทำผิดใดๆ
ก็ขอให้ผู้พบเห็นร่วมแจ้งเข้ามาที่เวบไซต์ดังกล่าว
ซึ่งจัดทำไว้ก็จะร่วมกันดำเนินการเท่าที่จะทำได้
ข้อความตอนหนึ่งของแถลงการณ์ที่ลงนามร่วมกันครั้งนี้
ระบุว่า การป้องกันการเผยแพร่ข่าวสาร
และข้อมูลซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพต่อบุคคล
และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
หรือการกระทำที่เป็นภัยต่อความเป็นปึกแผ่นของคนในชาติ
ไม่ใช่เป็นหน้าที่เฉพาะตัวของบุคคลหนึ่งบุคคลใด
หรือของหน่วยงานราชการเท่านั้น
เอกชนก็มีสิทธิที่จะดำเนินการป้องกันการกระทำดังกล่าว
หากผู้ใดพบเห็นการละเมิด โดยกระทำผ่านบริการ
หรือใช้อุปกรณ์ของไอเอสพี หรือเวบไซต์ต่างๆ ขอให้แจ้งการกระทำดังกล่าว
รวมทั้งการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมายัง www.hotline.in.th
เพื่อตรวจสอบทันที และดำเนินการขัดขวางการกระทำผิด ภายในกรอบของกฎหมาย
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดทำความผิดเช่นนั้นต่อไป