จากตอนที่แล้ว มโหสถได้บอกมหาชนในที่วินิจฉัยคดีว่า หญิงผู้นี้ไม่ใช่มารดาของเด็ก แต่นางเป็นยักษิณี ว่าแล้วก็ชี้มือไปที่นางยักษ์จำแลง แล้วเอ่ยถามตรงๆว่า “เจ้าเป็นใคร” นางยักษ์ก็สารภาพตามความจริงว่า ฉันเป็นยักษิณี
ฝูงชนที่พากันมารอฟังคำวินิจฉัยพากันแตกตื่นถามว่า “มโหสถ พ่อรู้ได้อย่างไรล่ะ” มโหสถจำต้องอธิบายว่า นางมีตาแข็งไม่กระพริบ นัยน์ตาก็สีแดงกล่ำ ซ้ำยังไม่มีเงาตัวเสียอีก มารดาที่ไหนจะมีจิตใจเหี้ยมโหดผิดมนุษย์อย่างนี้

กล่าวถึงพระเจ้าวิเทหราช เมื่อได้สดับคำกราบทูลเรื่องการตัดสินคดีของมโหสถบัณฑิตจบลง พระองค์ถึงกับทรงเปล่งพระอุทานขึ้นว่า “พ่อบัณฑิตน้อยของฉัน ช่างหลักแหลมเสียจริง ไยจึงสามารถขบคิดข้อวินิจฉัยที่ลึกซึ้งและแยบยลได้ถึงเพียงนี้ ควรแล้วที่เราจะรับตัวเจ้ามาเสียที”
ส่วนอาจารย์ท่านเสนกะซึ่งนั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็รีบกราบทูลค้านว่า เรื่องการสอบสวนคดีนางยักษิณี ไม่มีเงื่อนงำอะไรพิเศษเลย เพราะนางยักษิณีนั่นไร้เสียซึ่งปฏิภาณต่างหากเล่า ถ้านางยอมปล่อยเสียบ้าง มโหสถจะจับเงื่อนได้จากที่ไหน พระเจ้าวิเทหราชได้สดับดังนั้น จึงต้องรับสั่งให้ทูตนำสาส์นกลับไปบอกอำมาตย์ผู้นั้นให้เฝ้าดูเหตุการณ์ต่อไป

ชายหนุ่มถูกฤทธิ์รักกลุ้มรุมจนจิตใจปั่นป่วน เพราะไปตกหลุมรักสาวงามนางหนึ่งชื่อ ทีฆตาลา ซึ่งอันที่จริงควรกล่าวว่าเป็นเหวรักอันลึกเสียมากกว่า เนื่องด้วยความรักของนายโคฬกาฬเป็นรักข้างเดียว เพราะความที่ตนเป็นคนขี้เหร่ ไร้เสียซึ่งรูปสมบัติ
เมื่อเทียบกับนางทีฆตาลาแล้ว ก็ผิดกันราวฟ้ากับดิน เพราะนางเป็นผู้เพียบพร้อมด้วยความงามเฉกเช่นหญิงชนบทกัลยาณี แม้มิใช่ธิดามหาเศรษฐีแต่ก็เป็นหญิงมีตระกูล
อานุภาพแห่งรักนั้น อาจดลบันดาลได้ทุกอย่าง มีอำนาจกุมชะตาของบุรุษผู้ตกอยู่ในห้วงรัก ให้สามารถกระทำสิ่งใดก็ได้ เพื่อให้ได้ครอบครองหญิงที่ตนรัก

ยิ่งนานวันความดีของนายโคฬกาฬก็เริ่มปรากฏให้ได้ชื่นชมผลแห่งความเพียร ในที่สุดเมื่อครบ ๗ ปี บิดามารดาของนางทีฆตาลาเมื่อยังมองไม่เห็นใครอื่นที่จะสามารถเลี้ยงดูบุตรสาวแทนตนได้ จึงตัดสินใจยกนางทีฆตาลาให้กับนายโคฬกาฬ
นางทีฆตาลาจึงอยู่ในภาวะจำยอม ต้องอยู่กินกับนายโคฬกาฬอย่างไม่สู้เต็มใจนัก
ครั้นนายโคฬกาฬได้นางทีฆตาลามาเป็นคู่ครองสมดังความปรารถนา ก็เฝ้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงนางด้วยดีดั่งไข่ในหิน ไม่ว่านางปรารถนาสิ่งใด ต่อให้ต้องลำบากสักเพียงใด นายโคฬกาฬก็จะต้องจัดหามาเพื่อนางเสมอมิได้ขาด
กระทั่งวันหนึ่ง นายโคฬกาฬเรียกภรรยามากล่าวว่า “เธอช่วยทำขนมทอดอะไรที่อร่อยๆ ให้ฉันสักหน่อยหนึ่งเถิด”
นางจึงเอ่ยปากถามผู้เป็นสามีว่า “พี่จะให้ฉันทอดไปทำไมล่ะ”
. “ฉันจะไปเยี่ยมบิดามารดา” นายโคฬกาฬตอบ
นางก็กล่าวบ่ายเบี่ยงว่า “บิดามารดาของพี่ท่านไม่ได้เจ็บป่วยอะไร แล้วพี่จะไปหาท่านทำไม”
แต่ไม่ว่าภรรยาจะบ่ายเบี่ยงเลี่ยงความอย่างไร นายโคฬกาฬก็ยังคงขอร้องให้ภรรยาช่วยทอดขนมให้ตนจนได้

เวลานั้น มีชายเข็ญใจคนหนึ่งชื่อทีฆปิฏฐิ (ที-ฆะ-ปิด-ฐิ) เดินเลียบมาตามฝั่งแม่น้ำมาถึงสถานที่นั้น สามีภรรยาเห็นชายนั้นจึงถามว่า แม่น้ำนี้ลึกหรือตื้นล่ะเพื่อน
ครั้นได้ฟังดังนั้นพร้อมทั้งได้เห็นท่าทางของเขาทั้งสอง นายทีฆปิฏฐิก็รู้ว่า สองสามีภรรยานั้นไม่กล้าลงน้ำ จึงตอบไปว่า แม่น้ำนี้ลึกเหลือเกิน ปลาร้ายก็ชุกชุม
สามีภรรยาจึงซักถามต่อไปว่า “แล้วเพื่อนข้ามไปได้อย่างไรเล่า”
ชายนั้นตอบว่า “เราคุ้นเคยกับจระเข้และปลาในแม่น้ำนี้ดี ฉะนั้น สัตว์ร้ายเหล่านี้จึงไม่ทำร้ายเรา”
สองสามีภรรยาจึงกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้น เพื่อนจงช่วยพาเราทั้งสองข้ามไปสักหน่อยจะได้ไหมเล่า”
ชายผู้นั้นก็รับคำ ลำดับนั้น สองสามีภรรยาจึงแบ่งอาหารและขนมให้แก่ชายคนนั้น เขาบริโภคอิ่มแล้วจึงถามว่า “เพื่อนจะให้เราพาใครไปก่อนละ”
นายโคฬกาฬตอบว่า “จงพาภรรยาฉันไปก่อนเถิด แล้วจึงค่อยกลับมาพาเราไปทีหลัง”

25. นายทีฆปิฏฐิรับคำแล้ว ก็ให้นางทีฆตาลาขึ้นขี่หลัง ถือเสบียงและของฝากทั้งหมดลงข้ามแม่น้ำ พอไปได้หน่อยหนึ่งก็แกล้งย่อตัว เพื่อแสดงให้นายโคฬกาฬเห็นว่าน้ำลึก
แต่ครั้นพานางทีฆตาลาไปถึงกลางแม่น้ำ ก็พูดเกี้ยวว่า “ฉันจะเลี้ยงดูเธออย่างดี จะไม่ให้เธอต้องลำบากกายใจ ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับจะหาให้ จะมีทาสหญิงทาสชายคอยแวดล้อมรับใช้ นายโคฬกาฬตัวเตี้ยนั้น จะบำรุงเลี้ยงดูอะไรเธอได้ เธอมาอยู่กับฉันเถิด”

นายทีฆปิฏฐิกล่าวว่า “เธอพูดอะไร ฉันจะเลี้ยงดูอย่างดี อย่ากังวลเลย”
เมื่อคนทั้งสองนั้นไปถึงฝั่งโน้น ก็แสดงความชื่นชมยินดีต่อกัน ละทิ้งนายโคฬกาฬเสีย พากันเคี้ยวกินขนมต่อหน้านายโคฬกาฬซึ่งชะเง้อคอรออยู่ที่ฝั่งนี้ด้วยหัวใจแสนรันทดหดหู่ เมื่ออิ่มหน่ำดีแล้วทั้งคู่ก็พากันเดินจากไป ฝ่ายนายโคฬกาฬเมื่อรู้ตัวว่า คราวนี้ตนถูกภรรยาทิ้งแน่ แล้วเขาจะทำอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)