
พระเจ้าวิเทหราชทรงโสมนัสในคำกราบทูลของมโหสถ ได้พระราชทานสาธุการแล้ว ก็ทรงระลึกถึงปัญหาของเทวดาขึ้นมาได้ จึงตรัสว่า “พ่อมหาบัณฑิต บัดนี้ ก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องแก้ปัญหาของเทวดาแล้ว ขอเชิญเธอเปลื้องปริศนาอันยากยิ่งในบัดนี้เถิด”
ครั้นแล้วท้าวเธอก็ทรงเชิญมโหสถบัณฑิตให้นั่งเหนือพระราชบัลลังก์ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ส่วนพระองค์ก็เสด็จประทับเหนือพระราชอาสน์ซึ่งต่ำกว่า แล้วตรัสถามปัญหาข้อที่ ๑. ว่า “บุคคลผู้ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ทั้งถีบเตะทุบตี แต่กลับเป็นที่รักของผู้ที่ตนทำร้าย บุคคลที่ว่านี้คือใคร”
จบเนื้อความของปัญหา มโหสถบัณฑิตก็เห็นเค้าเงื่อนชัดแจ้งด้วยปัญญา ได้ทูลตอบว่า “บุคคลผู้ทำร้ายผู้อื่นนั้นคือทารกน้อยที่นอนบนตักของตักมารดา ซึ่งบางคราวก็เล่นหัว ทึ้งผม กระทั่งชกต่อย ถีบเตะมารดาด้วยความไร้เดียงสา แต่กลับเป็นที่รักของมารดาอย่างสุดหัวใจ”

มโหสถบัณฑิตสดับปัญหาข้อที่สองจบ ก็เห็นเรื่องราวที่มาของปัญหานั้นอย่างแจ่มแจ้งไม่มีอะไรปิดบังได้ ดุจคบเพลิงถูกจุดขึ้นในที่มืด
จึงได้ทูลแก้ปริศนานั้นสืบไปว่า “ขอเดชะมหาราชเจ้า ก็ในเวลาที่มารดาใช้บุตรวัย ๗-๘ ขวบ ให้ไปทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นต้นว่าให้ไปไร่ไปนาหรือไปร้านตลาด แทนที่หนูน้อยจะไปทันที กลับเกี่ยงงอนว่า “ต้องให้ขนมหนูกินก่อน หนูถึงจะไป”
เมื่อมารดาบังคับหนักเข้า ลูกก็เถียงว่า “แม่น่ะนั่งอยู่ในเรือนสบายๆ แต่จะให้หนูไปตากแดด ร้อนจะตายไป หนูจะไปได้อย่างไร”
มารดาถูกลูกในไส้เถียงเข้าอย่างนั้น ก็โกรธเคือง ด่าว่า “หนอยแน่ะ เจ้าลูกบังเกิดเกล้า เอ็งมาหลอกกินขนมข้า แล้วก็ไม่ไป”
หนูน้อยเห็นเป็นเรื่องขบขันที่หลอกมารดาของตัวได้ จึงแกล้งยกมือบ้าง ทำปากแบะแสยะยิ้มบ้างเพื่อล้อมารดา แล้วก็วิ่งหนีตะเลิดไปเสีย
มารดาเห็นบุตรทำท่าหลอกอย่างนั้น ก็ยิ่งเดือดดาล คว้าไม้เรียววิ่ง
ไล่กวด เมื่อไล่ไม่ทัน ก็ร้องตะโกนด่าทอ แช่งชักหักกระดูกไปต่างๆนานา
แต่ถึงมารดาจะก่นด่าว่าร้ายลูกสักเพียงใด ถึงขนาดสาปแช่งให้ไปตายก็ตามทีเถิด แต่คำด่าเหล่านั้นก็เป็นแต่เพียงปาก ใจจริงของมารดากลับไม่ปรารถนาจะให้เป็นไปตามนั้นเลย นางไม่ต้องการให้มีอันตรายใดๆ แม้เล็กน้อยมากล้ำกรายลูกของตนเลย”
มโหสถบัณฑิตพักครู่หนึ่ง พลางสังเกตดูพระเจ้าวิเทหราช ก็ทราบว่าท้าวเธอทรงสดับเรื่องนี้ด้วยความสนพระทัยยิ่งนัก บางช่วงท้าวเธอถึงกับทรงพระสรวลออกมาเบาๆ ด้วยความเบิกบานพระหฤทัย

บิดามารดาของเจ้าหนูน้อยนั่นเล่า ต่างก็เฝ้ารอคอยด้วยความเป็นห่วงเป็นใย มองดูต้นทางว่า เมื่อไหร่หนอลูกรักจึงจะกลับมาเสียที
แต่ครั้นยังไม่เห็นหน้าลูก ใจของบิดามารดาก็เต็มไปด้วยความโศก ครวญคร่ำรำพันอยู่ว่า “โธ่เอ๋ย เจ้าลูกรัก เจ้าไปอยู่ที่ไหนกัน ป่านฉะนี้เจ้ามิหิวแย่หรือ จะลำบากอย่างไรก็ไม่รู้”
แล้วบิดามารดาก็เที่ยวพากันออกตามหา พอเจอลูกเท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งความรักและห่วงใยลูก บิดาจึงตรงเข้าสวมกอด จูบจอมถนอมเกล้า ฝ่ายมารดาก็อุ้มลูกน้อยไว้ด้วยมือทั้งสอง
พลางปลุกปลอบลูกน้อยด้วยวาจาอ่อนหวาน รำพันถึงลูกผู้เป็นแก้วตาดวงใจ ราวกับไม่ปรารถนาจะให้พรากไปจากอ้อมอกของนาง ครั้นแล้วก็ยิ่งเพิ่มพูนความรักในตัวลูกมากขึ้นไปอีก

ภายหลังจากที่มโหสถบัณฑิตได้พยากรณ์เทวปัญหานั้นจบลง อารักขเทวดาตนนั้นก็ออกมาปรากฏกาย ให้สาธุการก้องกังวานเหมือนเช่นครั้งแรก
แม้พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงบูชามโหสถบัณฑิตด้วยพวงบุปผชาติด้วยพระหฤทัยโสมนัสยินดี
ครั้นแล้วท้าวเธอก็ทรงนำเทวดาปัญหาข้อที่สามมาตรัสถามต่อไปว่า “บุคคลใดกล่าวตู่กันด้วยคำไม่จริง ต่างก็โต้เถียงกันด้วยวาจาเหลาะแหละ แต่สุดท้ายกลับเป็นที่รักของกันและกัน เธอมีความเห็นว่า บุคคลที่ว่านั้นเป็นใคร”
เมื่อพระราชาตรัสปัญหาจบลง มโหสถบัณฑิตก็รีบทูลแก้ปัญหานั้นในทันทีว่า “ขอเดชะใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปัญหาข้อนี้ไม่ยากเลยพระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์โปรดทรงสดับคำพยากรณ์ของข้าพระพุทธเจ้าในบัดนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า”

ฝ่ายชายผู้เป็นสามีก็สัพยอกภรรยาของตัวว่า “เธอคงไม่รักฉันแล้ว อยู่ด้วยกันไม่นานความรักที่เธอเคยมอบให้ฉันก็พลันจืดจาง เธอช่างไม่มีเยื่อใยในตัวฉันบ้างเลย ไฉนเธอจึงเหินห่างจากฉันไปเสีย สงสัยเธอคงปันความรักให้กับชายอื่นแน่เลย
เธอช่างไม่นึกถึงความหลังครั้งก่อนบ้าง เมื่อตอนที่พบกับฉันใหม่ๆ เธอเคยบอกว่ารักฉัน รักฉันมากมาย เคยให้สัญญาว่า จะรักฉันคนเดียวตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผ่านไปไม่กี่คืน เธอก็มาเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไปเสียแล้วหรือนี่”
แต่แม้ทั้งสองจะกล่าวตู่กัน ให้ร้ายกันและกันเพียงไร ในใจกลับบังเกิดความรักต่อกันมากยิ่งขึ้น นี่แหละเป็นเรื่องธรรมดาตามวิสัยโลก ที่เมื่อเกิดความรักกันแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นปัญหามาขวางกั้นความรักนั้นได้ จะคิดหาทางให้สมหวังในความรักเพียงประการเดียว ส่วนว่า ปัญหาข้อที่ ๔ มโหสถบัณฑิตจะเฉลยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)