จากตอนที่แล้ว นายโคฬกาฬถูกหลอกพาภรรยาข้ามฝั่งแม่น้ำหนีไปต่อหน้า ก็วิ่งกลับไปกลับมาเมื่อนึกว่าภรรยาสุดที่รักกำลังจะหลุดลอยจากมือไป จึงรวบรวมความกล้ารีบวิ่งลงไปในแม่น้ำ ด้วยคิดว่าจะเป็นจะตายก็ช่างเถิด ขอให้ได้ภรรยาคืนมา
เมื่อลงไปในแม่น้ำเข้าจริงถึงรู้ว่าน้ำตื้น จึงรีบวิ่งลุยน้ำติดตามไป พอทันคนทั้งสองก็ร้องด่าว่า อ้ายโจรร้าย แกจะพาเมียข้าไปไหน ส่วนนายทีฆปิฏฐิกลับตู่เอาว่า เมียแกที่ไหนเล่า เมียข้าต่างหาก แล้วก็ผลักนายโคฬกาฬให้ล้มกลิ้งไป
นายโคฬกาฬเมื่อลุกขึ้นได้ก็จับมือนางทีฆตาลาภรรยาของตนกล่าวว่า เธอจะไปไหน ฉันทำงานถึง ๗ ปี จึงได้เธอมา แล้วเธอจะหนีฉันไปดื้อๆได้อย่างไร ทั้งตามตื้อภรรยา ทั้งเดินทะเลาะไปกับนายทีฆปิฏฐิ กระทั่งถึงศาลาของมโหสถบัณฑิต มโหสถบัณฑิตจึงให้เรียกคนทั้งสองเข้ามาในศาลาเพื่อตัดสินความให้ โดยการสัมภาษณ์เดี่ยว ถามถึงชื่อพ่อชื่อแม่ ชื่อภรรยาสามีของแต่ละคน นายทีฆปิฏฐิและนางทีฆตาลายังไม่รู้จักชื่อของกันและกัน ทั้งไม่รู้จักพ่อแม่ของอีกฝ่าย เมื่อถูกถามดังนั้นก็ตอบผิดไม่ตรงกัน ส่วนนายโคฬกาฬตอบตรงกันกับภรรยา เขาจึงได้ภรรยาของตนกลับคืนมา
พระเจ้าวิเทหราชครั้นได้สดับเรื่องการตัดสินคดีความทั้งหมดแล้ว ก็ทรงปลื้มพระทัยตรัสถามเสนกะปุโรหิตว่า ท่านอาจารย์ เราควรนำบัณฑิตนั้นมาได้หรือยัง อาจารย์เสนกะทูลว่า คดีเรื่องนายโคฬกาฬใครก็วินิจฉัยได้ บุคคลไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิตด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ขอให้ทรงรอไปก่อน
ในกาลต่อมา ท้าวสักกเทวาธิราช จอมเทพผู้เป็นใหญ่ในภพดาวดึงส์ ทรงตรวจตราดูโลกมนุษย์ด้วยทิพยเนตร ทราบว่า พระโพธิสัตว์ซึ่งมาบังเกิดเป็นกุมาร ในหมู่บ้านปาจีนยวมัชฌคาม แคว้นมิถิลา แห่งวิเทหรัฐในครั้งนั้น เธอได้นามว่า มโหสถกุมาร บัดนี้เจริญวัยได้ ๗ ขวบแล้ว ท้าวเธอจึงดำริว่า“พระโพธิสัตว์พระองค์นี้เป็นผู้เปี่ยมด้วยบุญญาธิการไม่มีผู้เปรียบปาน แม้นพระปรีชาญาณของพระองค์ก็ล้ำเลิศสุดจะประมาณ บัดนี้เป็นโอกาสดียิ่ง สมควรที่เราจักได้ประกาศปัญญานุภาพของพระองค์ให้ปรากฏขจรขจายไปทั่วทุกทิศ”
ดำริเช่นนี้แล้ว ท้าวเธอจึงเสด็จออกจากทิพยพิมาน จำแลงกายมาปรากฏในโลกมนุษย์ด้วยเพศแห่งบุรุษผู้ยากจนเข็ญใจ แล้วคิดหาอุบายขโมยรถม้าของชายผู้หนึ่ง โดยแสร้งมาจับท้ายรถม้าของชายหนุ่มไว้ ขณะที่เขากำลังแวะพักดื่มน้ำในสระโบกขรณี บริเวณหน้าศาลาหลังใหญ่ที่มโหสถกุมารสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แก่มหาชน
ชายหนุ่มเจ้าของรถสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล จึงร้องถามขึ้นด้วยความสงสัย “เจ้ามาจับท้ายรถเราไว้ ทำไมกัน”
“ข้าเป็นคนเข็ญใจ ไร้ญาติขาดมิตร อยากจะไปอยู่ด้วยเพื่อรับใช้ท่าน จะได้หรือไม่” ท้าวสักกะแปลงในคราบของชายเข็ญใจตอบหยั่งเชิงชายหนุ่มยิ่งฉงนใจ จึงซักว่า “อย่างไรกัน อย่างเจ้าน่ะ จะช่วยอะไรเราได้”
“ข้ายินดีทำกิจแทนท่านได้ทุกอย่าง สุดแล้วแต่ท่านจะใช้สอยเถิด” ท้าวสักกะแปลงตอบด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความตั้งใจจริง
“อย่างนั้นหรือ เจ้าไม่กลัวลำบากรึ” ชายหนุ่มถามย้ำให้แน่ใจ
“ข้านี่แหละ เป็นสหายกับความลำบากมาตั้งแต่เกิด” ท้าวสักกะแปลงตอบน่าฟัง
“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงไปกับเรา” ว่าแล้วเขาก็ให้ท้าวสักกะแปลงขึ้นนั่งบนรถม้า มอบหมายให้เขาทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้กับตน ส่วนตนก็นอนพักอยู่ในรถอย่างสบายใจ ครั้นให้สารถีขับมาได้หน่อยหนึ่ง จู่ๆ ชายหนุ่มเจ้าของรถก็สั่งให้จอดรถกะทันหัน แล้วหันมาพูดกับสารถีว่า “เจ้าจงเฝ้ารถนี้ไว้ให้ดี เราขอตัวไปทำกิจส่วนตัวสักครู่เดียว”
กำชับกับสารถีดังนี้แล้ว ก็รีบเดินลัดเลาะแนวป่า เข้าสู่พุ่มไม้ข้างทางที่พอเหมาะเป็นที่กำบังก็เร่งทำธุระส่วนตัวทันที
ท้าวสักกะแปลงทรงรอหน่อยหนึ่ง เมื่อทรงเห็นเจ้าของรถทำธุระเสร็จแล้ว กำลังเดินกลับมา ก็ทรงแกล้งขับรถม้าหนีไปต่อหน้าในขณะนั้น
ฝ่ายหนุ่มเจ้าของรถม้าทำกิจของตนเสร็จ ก็รีบกลับมายังรถ มองเห็นสารถีขับรถหนีไปดื้อๆ อย่างนั้น ก็รู้ทันทีว่าชายหนุ่มนั้นเล่นไม่ซื่อเสียแล้ว ทั้งตกใจและแค้นใจ จึงรีบวิ่งไล่กวดตามไปทันทีขณะนั้น มโหสถกุมารกำลังเล่นเพลิดเพลินอยู่กับเหล่าสหาย ก็แว่วได้ยินเสียงหนึ่งเอ็ดอึงมาแต่ไกล ครั้นเงี่ยโสตลงฟังอย่างตั้งใจ จึงทราบว่าเป็นเสียงเอะอะโวยวายคล้ายเสียงคนกำลังวิวาทกันด้วยเหตุสักอย่างหนึ่ง
“เฮ้ย หยุดก่อน เจ้าจะเอารถของข้าไปไหน เอารถข้าคืนมา” ชายเจ้าของรถวิ่งไปร้องตะโกนตามมาท่าทางเหนื่อยล้า
“นี่มันรถของข้าต่างหากละ ใช่รถแกที่ไหน รถของแกคันอื่น” ท้าวสักกะแปลงร้องสวนขึ้น พระหัตถ์ทั้งสองยังคงจับบังเหียนม้าไว้แกล้งขับรถม้าไปเรื่อยๆ
“รถข้าต่างหาก ไอ้หัวขโมย ไอ้คนโกหก หยุดเดี๋ยวนี้นะ เอารถข้าคืนมา” ชายหนุ่มที่วิ่งตามมาร้องด่าไม่ลดละพวกเด็กๆ เห็นเหตุการณ์นั้นแล้วต่างก็หยุดเล่น พากันมองดูชายทั้งสองด้วยความสงสัยว่าวิวาทกันเพราะเหตุใด
ฝ่ายมโหสถเห็นเหตุการณ์นั้นแล้ว ก็ใคร่ครวญว่า “นี่เห็นที จะมีคดีเกิดขึ้นอีกเป็นแน่” คิดดังนี้แล้ว ก็ไม่รอช้า ได้ให้คนใช้ไปเรียกชายทั้งสองมาเพื่อถามเรื่องราวทันที
ครั้นคนทั้งสองเข้ามาสู่ศาลาแล้ว เมื่อพินิจดูก็ทราบทันทีว่า ผู้นี้เป็นท้าวสักกเทวราช เพราะมีความองอาจ ปราศจากความเกรงกลัว และอีกประการก็มีนัยน์ตาไม่กระพริบ ส่วนคนที่วิ่งตามนี้เป็นเจ้าของรถ ก็เริ่มคิดหาวิธีการตัดสินความให้กระจ่างว่าเราจะทำประการใดดี เพราะทราบว่า บัดนี้ ตนได้มาถึงคดีที่ไม่ธรรมดาเสียแล้ว เพราะบุคคลที่มาก่อคดีนี้ขึ้น คือท้าวสักกเทวราช พระองค์เสด็จมาเพื่อทดลองปัญญาโดยเฉพาะ แล้วมโหสถบัณฑิตจะทำการตัดสินให้ปรากฏชัดเจนต่อมหาชนอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)











