จากตอนที่แล้ว ท้าวสักกเทวาธิราช ทรงทราบว่า มโหสถกุมารเจริญวัยได้ ๗ ขวบแล้ว ก็ทรงมีพระประสงค์จะประกาศปัญญานุภาพของพระโพธิสัตว์ให้ปรากฏแก่มหาชน จึงเสด็จออกจากทิพยพิมาน จำแลงกายมาปรากฏในโลกมนุษย์ในร่างแห่งบุรุษผู้ยากไร้

เมื่อเจ้าของรถม้าอนุญาตแล้ว ท้าวสักกะแปลงก็เสด็จขึ้นนั่งบนรถ ทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถให้กับเขา โดยให้เขานอนพักอยู่ในรถอย่างสบายใจ ทรงขับรถไปได้หน่อยหนึ่ง เจ้าของรถก็เกิดอาการท้องเสียขึ้นมากะทันหัน ต้องขอให้หยุดรถเพื่อไปทำภารกิจอย่างเร่งด่วน
ท้าวสักกะแปลงทรงรอหน่อยหนึ่ง ขณะที่เจ้าของรถทำธุระเสร็จแล้วกำลังเดินกลับมา ก็ทรงแกล้งขับรถม้าหนีไปต่อหน้า ฝ่ายหนุ่มเจ้าของรถเมื่อกลับมา เห็นสารถีขับรถหนีไปเสียอย่างนั้น ก็รู้ว่าชายหนุ่มนั้นเล่นไม่ซื่อเสียแล้ว จึงรีบวิ่งไล่กวดตะโกนด่าตามไปว่า เอารถของข้ากลับคืนมา

การที่มโหสถบัณฑิตรู้ได้ทันทีว่า ชายเข็ญใจมิใช่คนธรรมดา แต่เป็นท้าวสักกเทวราชนั้น ก็เพราะภายในโรงวินิจฉัยคดีที่มโหสถสร้างขึ้น มีความสง่างามผนวกกับความวิจิตรของสถาปัตยกรรมแห่งนี้ ซึ่งเป็นประดุจมนต์สะกดให้ผู้ที่ย่างกรายเข้าไป อาจเกิดอาการประหม่าได้ไม่น้อย
แต่มันก็มิได้ทำให้ชายเข็ญใจ เกิดความสะทกสะท้านแต่อย่างใด ทันทีที่ถูกบริวารของ มโหสถเรียกตัวเข้าไปพบ ก็เดินเข้าไปด้วยท่าทีองอาจ ต่างจากคนธรรมดา
ครั้นชายทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าแท่นที่นั่งของมโหสถบัณฑิต ครั้งแรกที่ได้เห็น มโหสถบัณฑิตก็รู้สึกฉงนใจทันที เพราะเพียงแค่มองจากภายนอกก็พอจะรู้ว่า ชายเข็ญใจผู้นี้ จะต้องไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมา “..หรือว่าชายผู้นี้ จะเป็นท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งดาวดึงส์พิภพจำแลงมา...”
แม้จะมั่นใจว่า ต้องใช่ท้าวสักกเทวราชเป็นแน่ แต่มโหสถก็ยังมีข้อแคลงใจว่า “ในเมื่อโลกมนุษย์นี้ หาใช่สถานที่รื่นรมย์ของเหล่าทวยเทพแต่อย่างใดไม่ เพราะกลิ่นของมนุษย์นั้นย่อมเหม็นฟุ้งไปตลอดร้อยโยชน์สำหรับเทวดา เป็นเหตุให้หมู่เทวาทั้งหลายไม่ปรารถนาจะข้องเกี่ยวกับมนุษย์ ก็แล้วพระองค์เล่า จะเสด็จมาในที่นี้ทำไมกัน”

15. คิดดังนี้แล้ว มโหสถจึงถามว่า “ท่านทั้งสอง มีเรื่องอันใดกันหรือ ถึงได้ทะเลาะวิวาทกันรุนแรงเช่นนี้”
“พ่อมหาบัณทิต ก็ชายคนนี้น่ะ อยู่ดีๆ ก็มาตู่เอารถของกระผม รถคันนี้กระผมได้มาด้วยความอุตสาหะ ต้องอดทนทำงานหนักอยู่นานหลายปีทีเดียวกว่าจะได้” ชายหนุ่มเจ้าของรถกล่าวฟ้องร้องขึ้นก่อน
“ท่านขอรับ ขอท่านอย่าได้หลงเชื่อถ้อยคำของเขาเป็นอันขาด รถคันนี้กว่ากระผมจะได้มา ต้องทำงานหนักเลือดตาแทบกระเด็น” ชายเข็ญใจกล่าวด้วยน้ำเสียงชวนให้สงสาร

“ได้ซินายท่าน ขอท่านจงตัดสินคดีนี้โดยยุติธรรมเถิด” ชายทั้งสองรับคำ
ได้ยินดังนั้น มโหสถจึงกล่าวต่อไปว่า “เอาล่ะ เมื่อท่านทั้งสองยินดีให้เราเป็นผู้วินิจฉัย ท่านก็จงกระทำตามคำของเรา”
จากนั้นมโหสถจึงได้ชี้แจงกติกาแก่ทั้งสองฝ่ายว่า “เราจะใช้ให้คนของเราขับรถม้าคันนี้ไป ส่วนท่านทั้งสองก็จงจับท้ายรถไว้ให้มั่น หากว่าผู้ใดสามารถวิ่งตามรถไปได้ โดยที่ไม่ปล่อยมือเลย แสดงว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของรถจริง”

ชายหนุ่มผู้เจ้าของรถ มีความปรารถนาอย่างยิ่งจะได้รถม้าของตนคืนมา จึงพยายามออกแรงวิ่งตามรถไปจนสุดกำลังความสามารถ
เมื่อวิ่งไปได้สักครู่ แรงคนก็สู้แรงม้าไม่ไหว รู้สึกเหนื่อยล้าเต็มที จึงจำใจต้องปล่อยรถนั้นไป ปล่อยให้คู่กรณีจับท้ายรถวิ่งไปเพียงลำพัง ส่วนตนก็หมดแรงหอบแฮ่กๆ ทรุดร่างลงกองอยู่ในระหว่างทาง
ส่วนชายเข็ญใจเหมือนมีกำลังพิเศษเกินกว่าที่ใครจะเทียบได้ เขาสามารถวิ่งจับท้ายรถนั้นไว้ได้ตลอดทาง โดยที่ไม่ได้ปล่อยมือเลย ซ้ำยังไม่แสดงอาการเหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
มโหสถเห็นดังนั้น ก็รำพึงในใจว่า “เอาล่ะ บัดนี้ ความจริงก็ปรากฏแล้ว” จึงสั่งให้หยุดรถ แล้วเรียกให้นำรถกลับมายังที่เดิม

มโหสถได้โอกาสจึงพูดต่อไปว่า “ท่านทั้งหลายจงดูชายคนที่วิ่งตามรถไปได้ตลอด ทั้งขาไปและขากลับ อาการเหน็ดเหนื่อยสักนิดก็ไม่ปรากฏ เหงื่อสักหยดก็ไม่มี ลมหายใจเข้าหายใจออกก็ไม่มี เขาผู้นี้คือ ท้าวสักกเทวราช จอมเทพแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์” ท้าวสักกเทวราชเมื่อได้สดับมโหสถกล่าวดังนั้น จะมีดำริอย่างไรต่อนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)