
นางอมราจะได้รับเกียรติสูงเกินกว่าที่นางคาดคิดไว้ และยังได้รับพระราชทานทรัพย์อีกมากมาย แม้ชาวเมืองทั้งหลายก็ได้นำบรรณาการอันสูงค่ามามอบให้อีกเป็นอันมาก นางก็ได้แบ่งทรัพย์นั้นออกเป็นสองส่วน ได้ถวายคืนสู่พระคลังหลวงไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็แจกจ่ายให้แก่ชาวเมืองเพราะเหตุที่นางเป็นผู้มีรูปงามน่าดูน่าชม มีน้ำใจไมตรีสงเคราะห์ช่วยเหลือคนทั้งหลาย รู้จักต้อนรับปฏิสันถารหมู่ชนได้อย่างเหมาะสม นางจึงสามารถกุมหัวใจของชาวมิถิลานครไว้ได้

อาจารย์ที่เหลือต่างก็พยักหน้า รับรองเป็นเสียงเดียวกันด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆแหละ ท่านอาจารย์เสนกะ”
อาจารย์ปุกกุสะกล่าวเสริมว่า “เขาเกินหน้าเกินตาเรามากทีเดียว ต่อให้เอาค่าของพวกเรามารวมกันก็คงไม่ถึงเศษเสี้ยวของเจ้ามโหสถเป็นแน่”

ฝ่ายอาจารย์เทวินทะไม่ประสงค์จะให้หมู่คณะคิดว่าตนเห็นเป็นอื่น จึงต้องกล่าวแสดงความเห็นของตนบ้างว่า “นั่นสิ วันอาวาหมงคลของมโหสถ แต่กลับเป็นวันอัปมงคลสำหรับพวกเราเสียนี่”
อาจารย์เทวินทะปรารภถึงเรื่องนี้แล้ว ก็อดถามไม่ได้ว่า “อืมม...แล้ววันนั้นน่ะ พวกท่านไม่ได้ไปดูกับเขาดอกรึ”
อาจารย์กามินทะรีบค้อนว่า “ก็สิ่งที่ขวางหูขวางตาและขวางใจปรากฏชัดอยู่เช่นนี้ แล้วจะให้ไปดูทำไมกัน”
อาจารย์เทวินทะก็แย้งว่า “อา..พวกท่าน จะว่าเป็นอัปมงคลไปเสียหมดก็คงมิใช่”
อาจารย์ปุกกุสะเกิดความสงสัยในทันใด จึงรีบถามเทวินทะแทนอาจารย์กามินทะว่า “เอ..ท่านเทวินทะ ไยท่านถึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ มีด้วยหรือสิ่งใดที่เป็นมงคล”

อาจารย์เสนกะได้ฟังดังนั้น ก็รีบเย้ยด้วยความหมั่นไส้ว่า “ท่านน่ะ มองเห็นแต่ความงามที่ฉาบทาภายนอก จนบดบังปัญญาไปเสียหมด ท่านไม่รู้เลยหรือว่า เบื้องหลังความงามของนางน่ะ ยังมีอะไรซ่อนเร้นอยู่อีกมากนัก ข้าพเจ้าจะบอกให้ ว่านั่นแหละสิ่งที่จะบันดาลอัปมงคลให้แก่พวกเรา”
อาจารย์เทวินทะเริ่มตามทัน จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ท่านหมายถึงความฉลาดของนางน่ะหรือ”

คราวนี้มโหสถยิ่งจะเหนือชั้นกว่าเราอีกสักเท่าใด ท่านก็ลองคิดดูเถอะ ในโลกนี้มีอะไรที่จะอัปยศอดสู และเป็นทุกข์ร้ายแรงยิ่งไปกว่าการเป็นอยู่อย่างปราศจากค่า ก็พวกท่านยังจะทนได้อยู่หรือ เมื่อถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นคนที่โลกลืมเพราะเมื่อก่อนนั้นใครๆต่างก็ยกย่องว่าเราเป็นคนมีค่าของวิเทหรัฐ แต่บัดนี้กลับไม่มีใครแลเหลียว ผู้ที่เป็นทาสเขา เจ้านายก็ยังเรียกใช้สอย แม้จะเป็นทาสชนิดเลวก็ตามทีเถอะ ถึงอย่างไรก็ยังมีค่ากว่าพวกเรา
มิใช่หรือ” คราวนี้สีหน้าของอาจารย์เทวินทะที่ยิ้มกริ่มอยู่เมื่อสักครู่ ก็เริ่มบึ้งตึงจนยิ้มไม่ออก

อาจารย์เสนกะยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น กลับพูดต่อไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียดยิ่งขึ้นไปอีกว่า “เวลานี้พวกเราน่ะ หากจะเปรียบกับวัตถุที่มีแสง ก็เป็นเพียงแสงของดวงดาว จริงอยู่เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับไป ความมืดที่ปกคลุมม่านฟ้าก็พอทำให้แสงดาวแพรวพราวได้บ้าง แต่ในเวลาที่ดวงจันทร์ทอแสงนวลขึ้น ถึงเวลานั้น ใครเล่าจะเห็นความสุกสกาวของแสงดาว
หากเปรียบไปแล้ว มโหสถก็เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ นางอมราเล่าก็เปรียบเหมือนดวงจันทร์ ก็ในเมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ยังปรากฏขึ้นสลับกันเรื่อยไปเช่นนี้ แสงดาวอย่างพวกเราจะเหลือค่าอะไร ในที่สุดก็คง

บรรยากาศแห่งการสนทนา เริ่มคุโชนด้วยไฟแห่งริษยาเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เบื้องแรกก็เป็นเพียงแค่พูดเปรยออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ในโชควาสนาของพวกตน
แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างได้กล่าวถึงความอดสูใจของตน ที่ดูเหมือนว่ายากจะแก้ไขได้ ถ้าหากยังมีมโหสถอยู่ร่วมในราชสำนัก จึงต่างก็เห็นต้องกันว่า พวกตนจะต้องหาทางกำจัดมโหสถออกไปให้ได้ ส่วนว่า ที่ประชุมของอาจารย์เสนกะจะมีแผนร้ายอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)