จากตอนที่แล้ว มโหสถได้ทดสอบนางอมราจนแน่ใจว่านางเป็นผู้ไม่มักโกรธ แม้จะถูกว่ากล่าวอย่างรุนแรงก็ตาม จึงได้ทำพิธีสู่ขอกับบิดามารดาของนาง พร้อมกับได้มอบทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะที่ได้จากการรับจ้างชุนผ้า และอีก ๑,๐๐๐ กหาปณะที่นำติดตัวมา เพื่อเป็นค่าสินสอด หลังจากที่มโหสถได้นางอมรามาเป็นภรรยาแล้ว ก็ได้พักอยู่ที่บ้านของนางอมรานานพอสมควร จึงได้ถือโอกาสกราบลาบิดามารดาของนางกลับคืนสู่กรุงมิถิลาพร้อมกับพานางอมรากลับมาด้วย
ในระหว่างทาง มโหสถเป็นห่วงว่านางจะได้รับความลำบาก จึงได้มอบร่มและรองเท้าให้ นางอมรารับร่มและรองเท้ามาแล้ว แทนที่นางจะสวมรองเท้าเพื่อป้องกันเสี้ยนหนาม แต่นางกลับเดินไปเท้าเปล่า ต่อเมื่อจะต้องลุยน้ำลุยโคลน นางจึงจะสวมรองเท้าที่สามีให้มา
หรือขณะที่เดินอยู่กลางแจ้งซึ่งมีแดดแผดกล้า นางก็มิได้กางร่ม แต่เมื่อเข้าสู่เขตป่าทึบจึงได้กางร่ม มโหสถเห็นการกระทำของนางเช่นนั้น ก็ประหลาดใจจึงเอ่ยถามนางว่า “ เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมสวมรองเท้าบนหนทาง แต่กลับสวมขณะลงน้ำ และไม่กางร่มในที่มีแสงแดด แต่กลับกางร่มในป่าทึบ ”นางอมราตอบว่า “ที่ทำดังนี้เพราะคิดว่า บนบกนั้น พอจะมองเห็นเสี้ยนหนามได้ จึงไม่สวมรองเท้า แต่ในที่มีน้ำ เรามองไม่เห็นเสี้ยนตอที่อยู่ใต้น้ำ จึงต้องสวมรองเท้า ส่วนที่มิได้กั้นร่มในที่แจ้ง ก็เพราะมั่นใจว่าปลอดภัย แต่ในป่าทึบ เราไม่รู้ว่ากิ่งไม้แห้งที่ผุจะหล่นลงมาเมื่อไร จึงต้องกั้นร่ม” แล้วทั้งสองก็พากันเดินทางต่อไป กระทั่งได้พบพุทราต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาให้ร่มเงาอยู่ริมทาง มโหสถเห็นเป็นโอกาสที่จะได้นั่งพักให้หายเหนื่อย จึงรีบเข้าไปหลบแดดอยู่ใต้ร่มพุทราทันที
นางอมราเห็นพุทราต้นนั้นมีผลดกเต็มต้น จึงอ้อนวอนมโหสถว่า “ท่านพี่ พุทราต้นนี้ผลดก น่ากินเสียจริง ขอท่านพี่โปรดขึ้นไปเก็บมาให้อมราบ้างเถิด”
มโหสถปฏิเสธด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องรัก เห็นทีว่าพี่คงจะปีนขึ้นไปไม่ไหวแน่ๆ เพราะรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน อยากจะขอนั่งพักให้หายเหนื่อยสักหน่อย น้องจงขึ้นไปเก็บเองเถิดนะ” นางอมราแม้ถูกปฏิเสธเช่นนั้น ก็มิได้คิดเห็นเป็นอื่นนอกเสียจากว่าสามีคงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจริงๆ ครั้นแล้วนางจึงค่อยๆปีนขึ้นไปบนต้นพุทรา แล้วเลือกเก็บผลกินตามความปรารถนา
มโหสถแหงนมองดูนางซึ่งกำลังเหนี่ยวกิ่งพุทราอยู่ จึงเป็นฝ่ายอ้อนวอนนางว่า “อมราน้องรัก ขอผลพุทราให้พี่บ้างสิ”
นางคิดจะทดลองไหวพริบของสามีดูบ้าง จึงถามกลับว่า “ท่านพี่ปรารถนาจะรับเอาผลร้อนหรือผลเย็น ก็โปรดบอกอมรามาเถิด”
มโหสถแม้รู้เหตุที่นางถาม แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ และเพื่อจะทดลองนาง จึงแกล้งเย้านางว่า “ไม่ยักกะรู้ว่าพุทราน่ะ มีผลร้อนผลเย็นด้วยรึนี่ ถ้าเช่นนั้น ขอผลร้อนให้พี่ได้ลิ้มลองเสียหน่อยเป็นไร”
นางอมราไม่รอช้า รีบเอื้อมเก็บผลพุทราที่สุกงอมดี แล้วโยนลงไปที่พื้น พลางกล่าวว่า “นี่เป็นพุทราร้อนค่ะ ขอท่านพี่จงเก็บเอาเถิด”ทันทีที่ผลพุทรานั้นตกลงมากระทบพื้น ฝุ่นละอองดินก็ชำแรกผิวพุทราเข้าไปจับเนื้อพุทรา
มโหสถเห็นดังนั้น ก็จับเคล็ดได้ทันทีว่า พุทราผลร้อนที่นางว่าก็คือพุทราเปื้อนฝุ่น เมื่อจะเคี้ยวกิน ก็ต้องเก็บมาปัดเป่าเสียก่อน เหมือนอย่างเวลาที่กินผลไม้ร้อนๆ จากนั้นมโหสถก็ใคร่จะรู้อีกว่า พุทราผลเย็นของนางจะเป็นเช่นไร จึงได้ทดลองนางอีก “น้องรัก ผลร้อนน่ะพอแล้วล่ะ ขอผลเย็นให้พี่บ้างเถิด” มโหสถเว้าวอน
นางเก็บผลพุทรามาไว้กำหนึ่ง แต่คราวนี้นางกลับโยนลงไปบนพรมหญ้า ทำให้ผิวพุทราไม่ปริแตกเพราะมีหญ้านุ่มๆรองรับไว้
มโหสถก็เก็บเอาผลพุทรานั้นมาเคี้ยวกินได้ทันที โดยไม่ต้องปัดต้องเป่าเหมือนเช่นครั้งก่อน
มโหสถเห็นความฉลาดหลักแหลมของนางแล้ว ก็แสนจะชื่นชมในความมีปัญญาของนาง รำพึงไปพร้อมกับยิ้มน้อยๆว่า “เป็นบุญของเราโดยแท้ที่ได้นางแก้วผู้มีปัญญาถึงเพียงนี้มาเป็นคู่ครอง แม้พระนางอุทุมพรเทวีของเรา หากได้เห็นนางเข้า ก็คงจะทรงโปรดปรานไม่น้อย”นางอมราลงจากต้นพุทราแล้ว ก็ถือหม้อน้ำไปตักน้ำมาให้มโหสถดื่มแล้วบ้วนปาก แล้วทั้งสองก็เดินทางต่อไป
ครั้นเข้าสู่เขตมิถิลานครแล้ว มโหสถยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะทดลองนาง จึงยังมิได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนให้นางทราบ เพียงแต่บอกนางไปว่า ตนชื่อโสมทัตเป็นช่างชุนที่มีชื่อเสียงในกรุงมิถิลาแห่งนี้ และแทนที่มโหสถจะพานางไปยังเรือนของตนเอง ก็กลับแวะไปบ้านของคนเฝ้าประตูซึ่งคุ้นเคยกันก่อน แจ้งเรื่องราวให้ภรรยาคนเฝ้าประตูทราบ แล้วฝากนางให้พักอยู่ในที่นั้นชั่วคราว พร้อมกับปลอบนางว่า “อมราน้องรัก ขอน้องจงรอพี่อยู่ในที่นี่ก่อน เจ้าจงอย่าได้วิตกกังวลไปเลย เพราะนายประตูผู้นี้เป็นสหายที่คุ้นเคยกับพี่มานาน เมื่อพี่กลับไปยังเรือน จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่ช้าก็จะกลับมารับน้องทันที” นางก็รับคำอย่างว่าง่าย แล้วมโหสถจึงพานางเข้าพักในห้องอันสมควร
มโหสถกำชับคนเฝ้าประตูและภรรยาว่า “โปรดจงจำไว้ด้วยว่า แต่นี้ไปฉันคือช่างชุนผู้มีนามว่าโสมทัต มิใช่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์อันใด ฉะนั้นจงอย่าแพร่งพรายสิ่งใดให้นางรู้เป็นอันขาด” สองสามีภรรยาต่างก็รับรองอย่างแข็งขัน การที่มโหสถนำนางอมรามาฝากไว้กับครอบครัวคนเฝ้าประตูที่ตนคุ้นเคยก่อนนั้น ก็ด้วยคิดว่า “การจะนำกุลสตรีผู้สมบูรณ์ด้วยสติปัญญา และมารยาทอันงดงามเข้าสู่เรือนในฐานะภรรยาของตนในสภาพที่ไม่มีใครรู้จักเลยนั้น เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง จำเป็นที่จะทำเกียรติคุณของนางให้ปรากฏ และรายงานให้พระนางอุทุมพรเทวีทรงทราบเสียก่อน แล้วจึงค่อยนำนางเข้าเรือนด้วยเกียรติยศอันสูงส่งจึงจะเป็นการเหมาะสม”
คิดดังนี้ จึงได้นำนางไปฝากไว้กับตระกูลที่ตนคุ้นเคย แต่ระหว่างที่ให้นางพักอยู่เหินห่างจากตนนั้น มโหสถก็มิได้ให้นางพักอยู่เฉยๆ แต่ได้มีบททดสอบส่งมาให้นางทำอีก ส่วนว่าบททดสอบจะยากเข็ญอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)











