จากตอนที่แล้ว พราหมณ์เกวัฏได้เข้าเฝ้าพระเจ้าจุลนีกราบทูลว่ามีเรื่องสำคัญมากที่จะปรึกษา ว่าแล้วก็ทูลเชิญเสด็จไปสู่พระราชอุทยาน
ครั้นเสด็จถึงพระราชอุทยานแล้ว พระเจ้าจุลนีก็ได้ประทับนั่งบนบัลลังก์ โดยมีพราหมณ์เกวัฏติดตามเพียงผู้เดียว เมื่อเขาเห็นว่าปลอดผู้คนแล้ว จึงเริ่มกราบทูลให้ทรงทราบ ถึงแผนการที่จะทำให้ท้าวเธอได้ทรงครองความเป็นใหญ่เหนือกว่าผู้ใดในผืนชมพูทวีป
พระเจ้าจุลนีผู้ปรารถนาความยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ครั้นได้สดับคำทูลของพราหมณ์เกวัฏดังนั้น ก็รู้สึกฮึกเหิมยิ่งนัก ตรัสถามถึงแผนการต่างๆ ด้วยความสนพระทัย

พระเจ้าจุลนีทรงสดับอุบายนั้นแล้ว ก็ทรงยินดียิ่งนัก ตรัสชมพราหมณ์เกวัฏว่า “แผนการของท่านอาจารย์ช่างแยบยลยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้น ท่านจงรีบเตรียมการเคลื่อนพลโดยเร็วเถิด”
ขณะกำลังกราบทูลแผนการให้พระเจ้าจุลนีทรงทราบนั้น พราหมณ์เกวัฏมั่นใจเหลือเกินว่า ท่ามกลางอุทยานที่สงัดเงียบเช่นนี้ คงไม่มีใครล่วงรู้ความลับของตนแน่ แต่ความจริงหาได้เป็นอย่างที่คิดไม่ เพราะในขณะที่กำลังปรึกษาหารือกันอยู่นั้น ได้มีนกแขกเต้าแสนรู้ตัวหนึ่ง แฝงตัวจับอยู่ที่กิ่งสาละ แอบฟังบทสนทนาระหว่างของคนทั้งสองอย่างตั้งใจ

เมื่อพราหมณ์เกวัฏกราบทูลแผนการจบลง สุวโปดกมาถูระก็บินรี่ออกจากที่ซ่อน โผลงจับกิ่งสาละที่อยู่เหนือศีรษะของพราหมณ์เกวัฏ พลางถ่ายคูถรดลงบนศีรษะของเกวัฏ แล้วร้องขึ้นว่า “ปรึกษาอะไรกัน”
พราหมณ์เกวัฏได้ยินเสียงนั้น ก็รีบแหงนหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง เจ้าสุวโปดกก็ฉวยโอกาสนั้นถ่ายคูถลงในปากของเกวัฏอีกครั้ง
จากนั้นก็บินไปส่งเสียงร้องไปว่า “เกวัฏเอ๋ย นึกหรือว่าจะมีเพียงท่านสองคนเท่านั้นที่รู้ ถึงเราก็รู้เหมือนกัน อีกหน่อยใครๆเขาก็จะรู้กันทั้งหมด”
พราหมณ์เกวัฏถูกสุวโปดกมาถูระถ่ายคูถลงในปากเท่านั้นยังไม่พอ ยังถูกเย้ยหยันทิ้งท้ายอีก เขาจึงทั้งโกรธทั้งแค้นใจนัก ตะโกนลั่นอุทยานว่า “เร็วเข้า ทหาร พวกเจ้าจงช่วยกันจับเจ้านกนั่น อย่าให้รอดไปได้ ฆ่ามันให้ตายเสียโดยเร็ว”
เหล่าไพร่พลรับคำสั่งแล้ว ก็พากันวิ่งกรูตามสุวโปดกไป ต่างร้องบอกกันและกันว่า “เร็ว ช่วยกันจับมันให้ได้ จับให้ได้” เสียงนั้นดังสนั่นเกรียวกราว สับสนอลหม่านไปทั้งพระราชอุทยาน
ฝ่ายสุวโปดกนั้นปราดเปรียวว่องไวเสียยิ่งกว่าลม มันกระพือปีกบินเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็สามารถรอดพ้นสายตาของพวกทหารไปได้ ครั้นเห็นว่าปลอดภัยแล้ว มันก็รีบบินถลาลมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่มิถิลานคร
เมื่อเข้าไปยังเรือนของมโหสถบัณฑิตแล้ว สุวโปดกก็จับลงตรงบ่าของมโหสถทันที เป็นสัญญาณหมายให้รู้ว่า “นี้เป็นความลับสุดยอดจริงๆ”
มโหสถบัณฑิตเห็นกิริยาของสุวโปดกแล้ว ก็รู้ว่าสุวโปดกมีความลับสำคัญมาบอก จึงพาสุวโปดกขึ้นไปยังเรือนชั้นบนซึ่งเป็นที่ปลอดคน ครั้นแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ว่าอย่างไร พ่อมาถูระ พ่อได้ทราบข่าวสำคัญอะไรมาอย่างนั้นหรือ”
สุวโปดกจึงแจ้งว่า “นายท่าน ภัยใดๆจากแคว้นทั้งหลายหามีไม่ จะมีก็แต่แผนการของพราหมณ์เกวัฏ ปุโรหิตของพระเจ้าจุลนีแห่งปัญจาลนครโน้น ที่กำลังจะเป็นภัยใหญ่หลวงแก่ชมพูทวีปทีเดียว”
มโหสถบัณฑิตถามว่า “แล้วพระเจ้าจุลนีทรงเห็นดีเห็นงามตามนั้นหรือไม่”
“ทรงเห็นชอบอย่างมากทีเดียว” สุวโปดกยืนยัน
มโหสถจึงซักต่อว่า “แล้วพระเจ้าจุลนีทรงตกปากรับคำว่าจะทำตามนั้นหรือไม่ล่ะ”
สุวโปดกผงกหัวยืนยันว่า “ไม่ต้องสงสัยล่ะ บ่าวได้ยินชัดเจนเต็มสองหู พระเจ้าจุลนีทรงรับจะกระทำตามนั้นให้เร็วที่สุด”
การล่วงรู้ถึงเหตุเภทภัยที่จะมาถึงตนอย่างเท่าทัน ก่อนที่ภัยนั้นมันจะเกิดขึ้น แล้วเตรียมหาทางป้องกันภัยนั้นมิให้เกิดขึ้นกับตนได้ หรืออย่างน้อยก็ผ่อนหนักให้เป็นเบา นั้นเป็นวิสัยของบัณฑิต เปรียบเหมือนบุคคลผู้เห็นงูพิษแต่ไกล ย่อมมีโอกาสที่จะไล่มันให้หนีไปด้วยก้อนดินหรือท่อนไม้ กระทั่งหากเป็นผู้ที่กล้าพอ ปรารถนาพอจะจับมันก็ย่อมทำได้
บุคคลผู้ที่เกิดมาในโลกนี้ก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีภัยในปรโลกที่เป็นปริศนาอันมืดมิดรอเราอยู่ ผู้ที่ฉลาดย่อมมองเห็นภัยนั้นแต่ไกล และหาทางป้องกันแก้ไขภัยนั้น ผ่อนหนักให้เป็นเบา หรือจากร้ายให้กลายเป็นดี ด้วยการหมั่นทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์ หากทำได้ดังนี้ ชีวิตเขาก็จะปลอดภัย และมีความสุข ส่วนเรื่องราวของมโหสถบัณฑิตจะดำเนินไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)