ใครจะรู้ว่า เบื้องหลังความสำเร็จบนเวทีเดี่ยวไมโครโฟน (ครั้งที่ 7) ของ ‘โน้ส’ อุดม แต้พานิช ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ...เขาผ่านการเตรียมตัว ฝึกซ้อม และเก็บข้อมูล เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบมากมายในการแสดง ‘เดี่ยว 7’ กว่า 40 รอบที่ผ่านมา
ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่หนัง “แอบถ่าย เดี่ยว 7” ได้บันทึกภาพชีวิตการทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ของชาย
ผู้ร่ำรวยอารมณ์ขันและแปลงมันเป็นทุน สร้างรายได้จนสามารถต่อยอดความสำเร็จทางธุรกิจอีกมากมายตามมา ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ฉาบอยู่บนใบหน้าของผู้ชม นับจาก
‘เดี่ยวไมโครโฟน’ ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน
“แอบถ่าย เดี่ยว 7” อาจไม่ใช่หนังสารคดีจ๋า ...ไม่เชิงว่าเป็นเรียลิตี้ และก็ไม่ได้มีลักษณะของการเร้าอารมณ์เกินจริงแบบหนังกึ่งสารคดี (Doccu-Drama) ที่มีการปรุงแต่งเรื่องราวเข้ามาเสริมเหตุการณ์ในหนังเพื่อหวังผลทางด้านอารมณ์ร่วม...หากแต่ “แอบถ่าย เดี่ยว 7” เป็นเหมือนการบันทึกเรื่องราวของการแสดง ‘เดี่ยวไมโครโฟน’ ครั้งที่ 7 ซึ่งจัดกันไปเมื่อต้นปี ที่มีทั้งเบื้องหน้า เบื้องหลัง และบางมุมที่เรายังไม่เคยเห็นแต่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น กระดาษโน้ตมากมายที่ ‘โน้ส’ อุดม จดมุขตลกต่างๆ เก็บเอาไว้เพื่อใช้เป็นข้อมูล หรือกองสคริปต์ และต้นฉบับหนังสือ
จำนวนมากมายที่เขาเตรียมไว้ใช้ในการแสดง การฝึกท่อง
ประโยคเด็ดเพื่อใช้ในการแสดง หรือการซักซ้อมตระเตรียมในทุกๆ ขั้นตอน ทั้งร้อง เล่น เต้น และอิริยาบถผ่อนคลายที่ตัวเขาเล่นสนุกกับทีมงานเพื่อคลายเครียดระหว่างซ้อม รวมถึงการบันทึกภาพสุดท้ายก่อนจบการแสดงในแต่ละรอบ หลังจากที่
‘โน้ส’ เอ่ยขอบคุณคนดูแล้ว เขาก็จะ
ตะโกนบอกเวลาของการแสดงในแต่ละรอบว่ายาวเท่าไหร่ ซึ่งมีตั้งแต่สามชั่วโมงครึ่ง ไปจนถึงสี่ชั่วโมงกว่า (แน่นอนว่ายาวเกินมาตรฐานของคอนเสิร์ตทั่วไปด้วยซ้ำ) และคนที่จะทำหนังแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับ ‘โน้ส’ อุดม เป็นอย่างดี ถึงขั้นระดับ ‘คนวงใน’ ที่มีโอกาสคลุกคลีรู้เห็นเบื้องหลังเบื้องลึกได้มากขนาดนี้ ซึ่งก็คือในครอบครัว เลือดเนื้อเชื้อไขอันน้องชายร่วมอุทรที่มีชื่อว่า สันติ แต้พานิช
หากมองย้อนกลับไปดูเส้นทางการทำหนังของ ‘สันติ’ ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน (ขออภัยที่ไม่ทราบชื่อเล่นของสันติ เนื่องเพราะเจ้าตัวมักให้เรียกเขาว่า ‘แต้’) เพราะก่อนหน้านั้นเขาสร้างชื่อจากการทำหนังสั้นในระดับมือรางวัลหลายต่อหลายเรื่อง ก่อนจะก้าวมาทำหนังในระบบสตูดิโอกับสหมงคลฟิล์มฯ ด้วยสารคดีเรื่อง
“เสือร้องไห้” ก่อนจะผันตัวเองไปเป็นคนทำหนังอิสระ(ที่เงื่อนไขในการทำหนังไม่ขึ้นอยู่กับนายทุนหรือสตูดิโออีกต่อไป) พร้อมกับควักเงินลงทุนทำหนังเอง หาโรงฉายเอง โดยเริ่มจาก “ดึกแล้วคุณขา” ที่ประเดิมฉายในเทศกาลหนังบางกอกฟิล์ม ก่อนจะเข้าฉายแบบจำกัดโรงที่ลิโด้ สยามสแควร์ ในระบบดิจิทัล เมื่อปีที่ผ่านมา (เช่นเดียวกับ “เด็กโต๋” และ “ปักษ์ใต้บ้านเรา”) จนมาถึงเรื่องนื้ “แอบถ่าย เดี่ยว 7”
นอกจากฐานะของคนทำหนังอิสระแล้ว ผลงานของ ‘สันติ’ ทุกเรื่อง ล้วนมีความน่าสนใจแตกต่างกันไป ใน “เสือร้องไห้” แม้จะบอกเล่าชีวิตคนอีสานที่เข้ามาทำงานเผชิญโชคในเมืองกรุงโดยเลือกบุคคลจาก 4 สาขาอาชีพแล้ว แต่วิธีการเล่าเรื่องของคน 4 คนในรูปแบบสารคดีของเขายังแตกต่างกันออกไป สองในสี่ใช้ประเด็นของการเป็นคนสู้ชีวิตมานำเสนอ อีกหนึ่งใช้การบอกเล่าของคนที่ผ่านการต่อสู้จนรู้จักและเข้าใจในชีวิต ส่วนคนที่เหลือ ใช้การเสนอภาพชีวิตประจำวันให้ผู้ชมได้ติดตามก่อนจะลุ้นเอาใจช่วยตัวละครด้วยการสร้างเงื่อนไขบางอย่างให้ฟันฝ่าอุปสรรค...มาถึง “ดึกแล้วคุณขา” เรื่องราวชีวิตคนกลางคืนของหนึ่งหญิงสองชาย ที่ดูเผินๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หากแต่ละคนตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกัน จนทำให้พวกเขาดูเหมือนมีความสัมพันธ์ต่อกัน อันเป็นผลมาจากผู้กำกับ
‘สันติ’ หันไปทดลองเทคนิคการเล่าเรื่องบางอย่างที่แตกต่างจากหนังทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อโดยใช้ภาพเดิมซ้ำๆ เพื่อแสดงให้เห็นชีวิตตัวละครที่ตกอยู่ในวังวนของคนที่จำเจกับวิถีชีวิตที่ไม่มีทางเลือก ทั้งผู้ชายขายตัว, พยาบาลประจำคลินิก และพ่อค้าของเถื่อน
มาถึง “แอบถ่ายเดี่ยว 7” สันติ ยังคงทดลองการเล่าเรื่องด้วยวิธีใหม่ๆ...อันดับแรก เขาปฏิเสธที่จะใช้ภาพการแสดงบนเวทีที่ผ่านการสวิตชิ่ง (switching) หรือการเลือกภาพผ่านอุปกรณ์ควบคุมในระบบสัญญาณ
วิดีโอของกระบวนการโทรทัศน์ (Broadcasting) ที่มักใช้ในการบันทึกภาพคอนเสิร์ตหรือการแสดงบนเวทีระดับมืออาชีพ แต่กลับหันไปใช้ภาพจากการบันทึกด้วยกล้องวิดีโอแฮนดิแคม(handicam) ในลักษณะของมือสมัครเล่นที่ใช้ถ่ายกันทั่วไป และตัดสลับไปกับภาพการทำงานเบื้องหลัง ที่ี่เริ่มตั้งแต่การหาไอเดียจากสิ่งรอบตัวที่เก็บไว้ในกระดาษโน้ต ไม่ว่าจะเป็นข้อความตามห้องน้ำสาธารณะ, เรื่องของเพื่อนบ้าน และรถกระบะเร่ขายของตามหมู่บ้านจัดสรร แล้วนำมากลั่นกรอง จนกลายมาเป็นโชว์บนเวทีเรียกเสียงหัวเราะจากคนดูในทุกรอบ ซึ่งไม่เพียงแต่ภาพเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว เรายังได้เห็นชั้นเชิงของการหยิบเอาเรื่องใกล้ตัวมาเล่าใหม่ในมุมมองแบบคนมีอารมณ์ขันของ ‘โน้ส’ อุดม ได้อย่างยอดเยี่ยม
ไม่เพียงเท่านั้นเรายังได้เห็นชั้นเชิงการทำหนังของสันติ เมื่อเขารู้จักใช้จังหวะการตัดต่อมาเล่นกับอารมณ์ผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นภาพการโผกอดของแม่ ‘ทองสุข’ กับลูกชาย ในวันที่การแสดงรอบสุดท้ายจบลง หรือการบึ่งมอเตอร์ไซค์มาให้ทันการแสดงอย่างฉิวเฉียด...ทุกภาพ ทุกเสียง ที่แม้จะไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่เมื่อถูกนำมาตัดต่อรวมเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างถูกที่ ถูกจังหวะ ถูกเวลา ก็ได้ทำให้ “แอบถ่าย เดี่ยว 7” เป็นหนังที่ดูสนุกตลอดเวลากว่า 90 นาที และที่สำคัญกว่านั้น ตลอดโปรแกรม หนังจะถูกตัดต่อนำมาฉายใหม่แตกต่างกันไปในแต่ละรอบ (รอบที่ผมดูวันที่ 18 สิงหาคมนั้น เป็นการตัดต่อเวอร์ชั่นที่ 7 แล้ว)
“แอบถ่าย เดี่ยว 7” เข้าฉายวันละ 4 รอบ ที่โรงภาพยนตร์ลิโด สยามสแควร์แห่งเดียวเท่านั้น