
สิงค์โปร์ – นักข่าวของนิตยสารต่างๆ ผู้ซึ่งเคยพบปะกับ เจ็ท ลี ในอดีต
ย่อมเป็นประจักษ์พยานได้ว่า เขาไม่ใช่ผู้ที่สัมภาษณ์ได้ง่ายๆ ถึงแม้ว่าเขาจะดูดี
แต่ซุปเปอร์สตาร์บทบู๊ผู้นี้ก็เป็นผู้ชายประเภทพูดน้อย
มีความสามารถในการเบี่ยงเบนคำถามได้เก่งมากด้วยวิธีการให้คำตอบแบบคลุมเครือ แสดงท่าทีเงียบเฉยเย็นชา
หรือบางครั้งก็มีรอยยิ้มแบบลึกลับ
แต่เจ็ท ลี ที่เห็นในวันนี้ เขานั่งพักผ่อนแบบสบายๆ
ในเก้าอี้นวมของโรงแรมแชง-กี-ล่า นั้นแตกต่างจากแต่ก่อนอย่างมาก
เขาช่างพูดช่างคุย รับลูกกับคำถามทุกคำถามอย่างหลักแหลมด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย
และเต็มไปด้วยอุปมาอุปไมย
“โอเค
ผมจะพูดให้คุณฟัง” เขากล่าว
เขาอธิบายเหตุผลว่าทำไมแต่ก่อนเขาจึงชอบพูดจาแบบมีเงื่อนงำน่างง
ในแบบภาษาอังกฤษปนจีนแมนดาริน “ผมเกลียดการโปรโมทภาพยนต์
ผมรู้สึกเหมือนเป็นการโกหก”
ลี อายุ 45 ปี เป็นแขกในการประชุมของ CEO ของนิตยสาร Forbes
Global กล่าวว่า
เขารังเกียจกลยุทธ์ของบริษัทสร้างภาพยนต์ที่ชอบทำทุกอย่างให้เกินความเป็นจริง
ตั้งแต่เรื่องการสร้างเนื้อเรื่องไปจนถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการสร้าง
เพียงเพื่อต้องการกระพือกระแสฮือฮาให้กับสื่อมวลชน
เมื่อครั้งเกิดสึนามิในปี 2004 ทางฝั่งทะเลมหาสมุทรอินเดีย
เขาและลูกสาววัย 4 ขวบ และ 2 ขวบ ขณะนั้นกำลังพำนักอยู่ที่ Four Seasons Resort ในเมืองมัลดิฟส์ เกือบถูกกลืนลงสู่ทะเล
“สิ่งแรกที่ผมได้เรียนรู้ในชีวิตคือ
อย่าทำอะไรที่จะทำให้แม่ผมต้องเสียใจ”
“ในขณะนั้นพวกเราอยู่ที่ชายหาด เพียงแว็บเดียวน้ำทะเลก็ขึ้นมาถึงคางผมแล้ว”
เขากล่าว ผมรีบคว้าลูกคนหนึ่งไว้ ในขณะเดียวกันนั้นแขกของโรงแรมคนอื่นๆ
ก็ช่วยลากลูกสาวอีกคนหนึ่งของผมให้ปลอดภัยมาได้
มันเป็นเหตุการณ์ตื่นตระหนกที่เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในชีวิตของนักแสดงที่เคยแสดงเป็นฮีโร่ในหลายบทบาทบนจอภาพยนต์
“ไม่มีอะไรที่จะการันตีได้ว่าชีวิตของเราจะจบสิ้นลงเมื่อไร
เราอาจจะไม่ได้อยู่ถึงอายุ 60 ปีก็ได้ เมื่อเราตาย ความฝันต่างๆ
ของเราก็ตายไปกับตัวเราด้วย” ลีกล่าว
ลี ปัจจุบันแต่งงานกับอดีตดาราภาพยนต์ นาน่า ลิ ชิ เมื่อปี 1999
เขามีลูกสาวอีก 2 คนซึ่งปัจจุบันอายุ 19 และ 20
ปีที่เกิดจากการแต่งงานครั้งแรกกับดาราสาวคนหนึ่งชื่อ ฮวง ควิยาน
จากประสบการณ์สึนามิในครั้งนั้นทำเขาเปลี่ยนมาเป็นคนที่หันมาใช้เวลาในการคิดคำนึงมากขึ้นในระยะ
10 ปีที่ผ่านมาว่า
ตัวเขาเองจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่และความรู้ที่มีอยู่ในตัวให้เป็นประโยชน์แก่โลกได้อย่างไรบ้าง
“ก่อนหน้านี้ ทุกๆ สิ่งที่ผมคิดและทำเพื่อตัวผมเองทั้งสิ้น”
เขากล่าว “หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นแล้ว ผมบอกกับตัวเองว่า
ผมจะต้องทำอะไรเพื่อสังคมบ้าง”
เริ่มแรกเลย เขาใช้เวลา 2 ปีเต็มเพื่อเดินทางไปอินเดีย ยุโรป
และสหรัฐอเมริกาเพื่อไปเยี่ยมเยือนองค์กรการกุศลต่างๆ องค์กร NGO รวมไปถึง องค์การอนามัยโลก WHO
และมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ “เพื่อศึกษาวิธีการทำงานของ NGO”
เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ก่อตั้งมูลนิธิไชน่า เจ็ท ลี วัน
ซึ่งประกอบด้วย 4 อุดมการณ์หลักสำคัญคือมุ่งเน้นการทำงานทางด้าน การศึกษา สุขภาพ
สิ่งแวดล้อม และความยากจน
ภาษิตของมูลนิธินี้มีเป็นสูตรเอาไว้เลยว่า “1 คน + 1 ดอลลาร์ (หรือ
1 หยวนก็ได้) + 1 เดือน =
1 ครอบครัวใหญ่”
ความหมายก็คือว่า ถ้าแต่ละคนบริจาคอย่างน้อยคนละ 1 ดอลลาร์หรือคนละ
1 หยวน หรืออุทิศเวลา 1 ชั่วโมงต่อเดือน การกระทำดังกล่าวจะสามารถเปลี่ยนเป็นทรัพยากรที่ทรงพลังในการที่จะช่วยผู้ยากไร้ในโลกใบนี้ได้
รูปแบบการทำงานเพื่อสังคมดังกล่าวได้ถูกนำมาปฏิบัติจริงเมื่อครั้งเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เขตเวนชวน
จังหวัดเสฉวนของจีน เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา อันเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 7
หมื่นคนและผู้ไร้ที่อยู่อาศัยหลายพันคน
ในครั้งนั้น ลี
ได้เผยแพร่บทความหนึ่งเพื่อเป็นเสมือนการหมุนวงล้อของมูลนิธิวันให้เคลื่อนไปข้างหน้า
ผลก็คือภายใน 1 สัปดาห์ สามารถทำยอดการบริจาคได้สูงถึง 50 ล้านหยวน (7.3
ล้านดอลล่าร์สหรัฐ) ผ่านทางอินเตอร์เน็ตและ SMS
และแล้วฮีโร่ในบทภาพยนต์ได้กลายมาเป็นฮีโร่ในชีวิตจริงแล้ว
เขายอมรับอย่างน้ำใสใจจริงว่า
ตัวเขาเองไม่ได้เป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวตลอดเวลาหรอก ที่ผ่านมา เขาเกิดที่ปักกิ่ง
เป็นลูกชายคนเล็กในจำนวนพี่น้อง 5 คน เมื่อเขาอายุ 5
ขวบพ่อของเขาที่เป็นวิศวกรเสียชีวิต
“ครอบครัวเรายากจนมาก สิ่งแรกที่ผมได้เรียนรู้จากชีวิตคือ
จะไม่ทำสิ่งใดที่จะทำให้แม่ต้องเสียใจ”
เขากลายเป็นคนที่หัวรั้นมุ่งมั่นและคิดถึงเรื่องการหาเงินอยู่ตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นผู้มีความกระตือรือร้นกระวีกระวาด
เขาได้ถูกรับคัดเลือกเข้าเรียนที่วิทยาลัยวูซู ที่ปักกิ่ง เมื่ออายุยังน้อยมาก
“เมื่ออายุเพียง 8 ขวบ ผมไม่รู้หรอกว่า ผมได้เรียนรู้อะไรบ้าง
สิ่งเดียวที่ผมรู้ก็คือว่า
การได้เข้าเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้หมายถึงการมีอาหารกินในแต่ละมื้อ” เขากล่าว
ระหว่างอายุ 11 ถึง 16 ปี เขาได้รับ 5
เหรียญทองจากการแข่งขันแห่งชาติวูซู และเขาได้เดินทางท่องโลกไปสาธิตศิลปมวยจีนในที่ต่างๆ ครั้งหนึ่งอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน
ของสหรัฐอเมริการู้สึกประทับใจมากเมื่อได้ชมลีแสดงศิลปการต่อสู้ของเขาที่ลานหญ้าของไวท์
เฮ้าส์ ซึ่งท่านประธานาธิบดีถึงกับขอให้เด็กชายลีวัย 11 ปีเป็น bodyguard ของเขาเมื่อเขาเติบโตขึ้น
เขากลับตอบไปว่า “ไม่ครับ
ผมต้องการที่จะปกป้องเพื่อนร่วมชาติของผมหนึ่งพันล้านคนมากกว่า”
รัศมีของลีเริ่มฉายแสงเจิดจ้ามากขึ้นเมื่อเขาได้แสดงในภาพยนต์เรื่อง
วัดเส้าหลิน เมื่อปี 1979
ซึ่งเป็นภาพยนต์กังฟูที่ต่อมามีการสร้างเพิ่มเป็นภาคต่อเนื่องอีก 2 ตอน ชื่อเสียงของเขาไม่เพียงแค่ครอบคลุมไปทั่วฮ่องกงและเอเชียเท่านั้น
แต่ยังไปไกลถึงฮอลลีวู้ดอีกด้วย
เมื่อปีที่แล้ว เขาได้ทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้ถึง 100 ล้านหยวน
(14.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการรับบทเป็นขุนศึกปีเตอร์ ชาน
ภาพยนต์ล่าสุดของเขาที่ออกฉายก็คือเรื่อง มัมมี่ 3
และเรื่องขุมทรัพย์มังกรทองซึ่งออกฉายเมื่อเดือนที่แล้ว
เป็นภาพยนต์ที่เขาร่วมแสดงกับ เบรนเดน ฟราเซอร์ และ มิเชล เยน
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงและร่ำรวยเงินทองมากขนาดนี้
แต่เขาก็ยังรู้สึกมีความทุกข์บางอย่างที่คอยกัดกินเขาอยู่
“ผมก็เหมือนคนส่วนมาก คือมีเวลา 24 ชั่วโมง ผมนอน 10 ชั่วโมง
มีเวลาที่มีความสุขกับตัวเอง 3 ชั่วโมงในการกิน คุย อยู่กับครอบครัวและเพื่อนฝูง”
เขากล่าว
“แล้วผมก็ใช้เวลาอีก 5 ชั่วโมงในการคิดว่า
ผมจะสามารถหาเงินเพิ่มขึ้นให้กับตัวเองได้อย่างไร
ส่วนเวลาที่เหลือนอกนั้นจะถูกใช้ไปกับความรู้สึกผิดหวัง”
เขาได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และเขาก็ตัดสินใจว่า
ถ้าเขาต้องการจะยืดชั่วโมงของความสุขในชีวิตให้ยาวออกไป
เขาจะต้องเป็นผู้ให้และช่วยเหลือผู้อื่น
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ลี
ต้องการให้รูปแบบของมูลนิธิวันของเขาดำเนินอยู่บนฐานธุรกิจที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง
เขาจึงมองไปที่องค์กรที่ทำงานเพื่อสังคมต่างๆ
ในประเทศตะวันตกที่มีการทำงานแบบโปร่งใสและตรงตามมาตรฐานของรัฐบาลของประเทศนั้นๆ
“นั่นเป็นเหตุผลอธิบายว่า ทำไมมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์
และมูลนิธิฟอร์ด สามารถดำรงอยู่ได้ยั่งยืนนานขนาดนี้” เขากล่าว
ซึ่งแตกต่างจากองค์กรการกุศลทางเอเชีย ซึ่งตั้งขึ้นและบริหารในรูปแบบธุรกิจครอบครัว
ไม่มียุทธศาสตร์ วิสัยทัศน์ และขาดแนวทางมาตรฐานตามแนวทางการดำเนินงานของทางราชการ
“ทางตะวันตก มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เราจะเห็นคนอย่าง วอร์เรน
บัพเฟท ยกทรัพย์สมบัติของตัวเองออกทำทานให้กับองค์กรการกุศล”
เขาหมายถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของโลกซึ่งได้บริจาคเงินจำนวน 40
พันล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อ 2 ปีที่แล้วให้กับมูลนิธิบิลส์และเมลินดา เกตส์
“มูลนิธิควรนำเงินที่ได้รับบริจาคไปลงทุนเพื่อให้ได้รับผลกำไร
เมื่อเทียบกับการเลี้ยงแม่ไก่พันธุ์ดีที่สามารถออกไข่จำนวนมากได้”
แต่เขาก็ยังต้องการทำในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากนี้
“ผมต้องการระบบการลงทุนที่สามารถเก็บไข่ได้ทุกๆวัน โดยที่ไม่ต้องเลี้ยงแม่ไก่” เขากล่าวเล่นสำนวนอย่างหลักแหลม
“ผมเองก็สามารถทำอย่างคนอื่นๆ
ได้ในเรื่องการหาเงินบริจาคเข้ามูลนิธิอย่างง่ายๆ ก็แค่เอ่ยปากขอบริจาคเงินจากผู้อำนวยการสร้างภาพยนต์หรือจากนายทุนใหญ่สักรายหนึ่งให้เขาบริจาคเงินสัก
1 ล้านก็ได้ แต่ถ้าผมทำเช่นนั้นผมก็จะทำได้สำเร็จเพียงในปีแรก
แต่ในปีต่อไปจะไม่มีใครยอมรับโทรศัพท์จากผมอีก” เขากล่าว
ดังนั้นเขาจึงใช้วิธีรับบริจาคเงินเข้ามูลนิธิจากผู้บริจาครายย่อยทั่วๆ
ไป ซึ่งจะไม่ทำให้ผู้บริจาคเกิดความรู้สึกกลัวต่อตัวเงินที่ต้องบริจาค
รายย่อยจำนวนมากก็สามารถรวมกันเป็นเงินก้อนโตได้
ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วจากเงินที่ได้รับบริจาคจากทุกทั่วสารทิศในเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เสฉวน
เขาได้ใช้ช่องทางโยงใยผ่านทางบริษัทเทเลคอมและบริษัทด้านอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ในประเทศจีนในการช่วยดำเนินการส่ง
SMS
และประชาสัมพันธ์เรื่องการรับบริจาคทางอินเตอร์เน็ตโดยแค่ขอรับบริจาคคนละ 1
หยวนเท่านั้น
“การใช้วิธีแบบที่คุณว่านั้นมีมูลนิธิอื่นๆ อีกมากมายที่ทำแบบนี้
แล้วคุณคิดว่าอะไรที่ทำให้มูลนิธิเจ็ท ลี วัน ของคุณ พิเศษกว่าคนอื่น?”
นอกจากนี้เขายังมีนักธุรกิจอีกหลายคนที่ช่วยในการดำเนินการดังกล่าว
และเขาเองก็รับหน้าที่เป็นหัวหอกในการผลักดัน
“ผมเพิ่งได้เซ็นสัญญากับบริษัทสร้างภาพยนต์รายหนึ่งในประเทศจีนว่า
ภายในระยะเวลา 10 ปีต่อไปข้างหน้านี้ เขาจะบริจาคเงินจำนวน 10
เซ็นต์ต่อการขายตั๋วภาพยนต์ทุกๆ ใบให้กับมูลนิธิของผม และทุกๆ
โรงภาพยนต์ก็แค่บริจาคเงิน 1 เซ็นต์จากตั๋วทุกๆ ใบที่ขายได้
เขายิ้มพร้อมกับใช้นิ้วเคาะขมับขวาของตนเอง: “ลองคิดดู คุณจะไม่ใช่แค่ได้ดูภาพยนต์เท่านั้น แต่คุณจะได้ช่วยเหลือสังคมโดยการบริจาคเงินอีกด้วย”
แม้ว่า ลี จะไม่ได้มีพื้นฐานทางการศึกษามากนัก
แต่ความเข้าใจทางด้านธุรกิจและทักษะการพูดของเขาน่าประทับใจและน่าคล้อยตาม
“แม้ว่าคุณบริจาคเงินเพียงแค่ 1 ดอลลาร์ คุณก็สามารถรู้สึกดีได้
และไม่ว่าคุณจะบริจาคเงินมากน้อยแค่ไหน คุณก็มีสิทธิที่จะเข้าไปตรวจสอบจำนวนเงินของมูลนิธิที่ได้รับบริจาคมาได้
และเข้าไปดูได้ด้วยว่า มูลนิธิกำลังทำอะไรอยู่” เขาอธิบาย
ลี
ได้ดึงดูดผู้คนให้เข้ามาร่วมเป็นหุ้นส่วนและอาสาสมัครทำงานกับเขาได้เป็นจำนวนมาก
มากขนาดเหมือนดั่งเป็นกองทัพอันน่าเกรงขามทีเดียว ซึ่งในทีมงานของเขาประกอบด้วยบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ใน
MNCs, คนดังต่างๆ ในสังคม พวกคนที่ชอบทำงานตอบแทนสังคม และพวก NGOs ต่างๆ
เป็นต้นว่า บริษัท ดีทรอยด์
ช่วยเหลือทางด้านการทำบัญชีให้กับมูลนิธิ บริษัทโฆษณาระดับนานาชาติ BBDO ช่วยทางด้านการทำโฆษณา บริษัทดังด้านประชาสัมพันธ์ Ogilvy ช่วยทำทางด้านประชาสัมพันธ์และการตลาด
ส่วนหุ้นส่วนทางด้านสื่อมวลชนของเขาซึ่งมีบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ
ทางด้านโทรทัศน์ และทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น ดิสนีย์, NBA, และกลุ่มเซี่ยงไฮ้ มีเดีย เข้ามาร่วมอุดมการณ์กับเขาด้วยเช่นกัน
บอร์ดผู้บริหารของเขาประกอบด้วยคนดังในระดับขึ้นทะเบียนในหนังสือ Who’s Who ในประเทศจีน
ในขณะเดียวกันอาสาสมัครที่เป็นระดับคนดังของสังคมก็มีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนหลายร้อยคน
ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึง แจ๊คกี้ ชาน, แอนดี้ ลู และ มิเชล เยน, นักเต้นเเร็พ เจ ชัว
และกระโดดข้ามรั้ว ลิว เซียง
มูลนิธิวันของเขายังได้รับความสนใจจากคนระดับมันสมองที่เป็น NGO จากมหาวิทยาลัยในปักกิ่งและซิงหัว
นอกจากนี้เขายังได้เข้าไปมีหุ้นส่วนการทำยุทธศาสตร์กับทางสภากาชาดอีกด้วย
เขาเน้นว่า นี่เป็นมันสมองเฉพาะตัวแบบเอเชีย: ทุกอย่างต้องโปร่งใส และระบบตรวจสอบจากสมาชิกครอบครัววัน
ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ประกอบขึ้นจากผู้บริจาคทุกคนนั้นน่าเกรงขาม
ที่จะหาผู้ที่กล้านำเงินบริจาคไปใช้ในทางที่มิชอบหรือในกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมได้ยาก
“การใช้วิธีแบบที่ผมว่านั้นมูลนิธิอื่นๆอีกมากมายที่ทำแบบนี้
แล้วผมคิดว่าอะไรที่ทำให้มูลนิธิเจ็ท ลี วัน ของผม พิเศษกว่าคนอื่น” เขากล่าวทบทวนคำถามข้างต้นอย่างโวหาร
“ประชาชนนั้นไม่โง่หรอก พวกเขาจะหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ว่า
ทำไมมูลนิธิวันจึงมีผู้คนที่กล่าวมาข้างต้นมากมายเข้าร่วมอุดมการณ์ด้วย
ทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับไมโครซอฟท์ และสตาร์บัคส์
จึงเข้าร่วมอยู่ในคณะกรรมการบริหารของมูลนิธินี้ พวกเขาต้องแน่ใจว่า
สิ่งที่มูลนิธิทำอยู่นั้นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องแน่นอน”
เขากล่าว
นั่นคือว่าทำไมระบบที่ประกอบด้วยความศรัทธาและอุดมการณ์ของผู้เข้าร่วมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อวันหนึ่งข้างหน้า ผม เจ็ท ลี ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว มูลนิธินี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไปเพราะว่าอุดมการณ์นั้นยังอยู่
และระบบก็ยังอยู่”
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ใช้เวลา 1
ปีในการขายความเชื่อและทำระบบที่เขาคิดขึ้นมาให้เป็นที่แน่ใจว่าเป็นระบบที่ถูกต้อง
ในปัจจุบันนี้
มูลนิธิวันทุ่มเทพลังการทำงานทั้งหมดไปที่ประเทศจีนซึ่งมีประชากรจำนวนเกือบ 200
ล้านคนที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ และมีประชากรอีกเกือบ 60
ล้านคนต้องการความช่วยเหลือในแต่ละปี
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิก็มีเป้าหมายที่จะขยายปีกออกไปครอบคลุมทั่วโลก
เราได้วางแผนไว้แล้วว่า จะไปตั้งมูลนิธิเพิ่มขึ้นในประเทศอินเดียและสิงคโปร์
“ผมได้คุยกับหุ้นส่วนหลายคนในประเทศสิงคโปร์ในช่วง
8 เดือนที่ผ่านมา” ลี ผู้ซึ่งในขณะนี้มีลูกสาว 2
คนกำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนแบบอเมริกันในสิงคโปร์ กล่าว
เขามองว่าสิงคโปร์กำลังจะเป็นฐานของการฝึกอบรมและดูแลผู้นำในอนาคตได้
เพราะเขาเชื่อว่า องค์กร NGO ต่างๆ จะมาตั้งขึ้นในเอเชีย ในระยะ 5-10 ปีข้างหน้านี้
“เรายังไม่มีจำนวนผู้นำมากพอในขณะนี้
มันยากมากเลยกับการที่จะหาคนที่มีจิตใจดีงามและเก่งในทางธุรกิจในคนๆ เดียวกัน”
เขากล่าว
สิงคโปร์เป็นประเทศที่เหมาะสมที่จะเป็นฐานเพราะว่ามีสาธารณูปโภคที่ดีและมีประสบการณ์ในเรื่องการแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข
รวมถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
ชั่วโมงการให้สัมภาษณ์หมดลงแล้ว
แต่ดาราผู้ร่าเริงคนนี้ยังต้องการที่จะฝากเกร็ดคำพูดทิ้งท้ายเอาไว้ตรงนี้ว่า
ทำไมทุกคนจึงควรจะเป็นผู้บริจาคช่วยเหลือคนอื่น
“สมมุติว่า
มีใครคนหนึ่งให้นาฬิกาเรือนหนึ่งกับคุณเป็นของขวัญวันเกิดเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
ทุกครั้งที่คุณมองดูนาฬิกาเรือนนั้น คุณจะคิดถึงคนที่ให้มันมา ในความรู้สึกของคุณ
นาฬิกาเรือนนั้นเป็นของคนที่ให้มาตลอดกาล”
เขาดูมีความกระปี้กระเปร่ามากขึ้นเมื่อเขาพรรณาต่อว่า
“ถ้าคุณเก็บรักษาสมบัติทุกอย่างที่คุณมีไว้ในหีบสมบัติที่บ้านของคุณ
ไม่มีใครรู้หรอกว่า คุณมีสมบัติอะไรบ้าง ยกเว้นคุณคนเดียว ดังนั้น
ยิ่งคุณให้มากเท่าไร คุณยิ่งได้รับมากเท่านั้น”
เขาผงกศรีษะ แล้วพูดว่า “ทั้งหมดนี้คือความลับที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุข”
ที่มา-http://www.buddhistchannel.tv/index.php?id=9,7264,0,0,1,0