Data from a new study suggests that individuals who engage in compassion meditation may benefit by reductions in inflammatory and behavioral responses to stress that have been linked to depression and a number of medical illnesses. The study's findings are published online at www.sciencedirect.com and in the medical journal Psychoneuroendocrinology.

"While much attention has been paid to meditation practices that emphasize calming the mind, improving focused attention or developing mindfulness, less is known about meditation practices designed to specifically foster compassion," says Geshe Lobsang Tenzin Negi, PhD, who designed and taught the meditation program used in the study. Negi is senior lecturer in the Department of Religion, the co-director of Emory Collaborative for Contemplative Studies and president and spiritual director of Drepung Loseling Monastery, Inc.

This study focused on the effect of compassion meditation on inflammatory, neuroendocrine and behavioral responses to psychosocial stress, and evaluated the degree to which engagement in meditation practice influenced stress reactivity.

"Our findings suggest that meditation practices designed to foster compassion may impact physiological pathways that are modulated by stress and are relevant to disease," explains Charles L. Raison, MD, clinical director of the Mind-Body Program, Emory University's Department of Psychiatry and Behavioral Sciences, Emory School of Medicine, and a lead author on the study.

Sixty-one healthy college students between the ages of 17 and19 participated in the study. Half the participants were randomized to receive six weeks of compassion meditation training and half were randomized to a health discussion control group.

Although secular in presentation, the compassion meditation program was based on a thousand-year-old Tibetan Buddhist mind-training practice called "lojong" in Tibetan. Lojong practices utilize a cognitive, analytic approach to challenge an individual's unexamined thoughts and emotions toward other people, with the long-term goal of developing altruistic emotions and behavior towards all people. Each meditation class session combined teaching, discussion and meditation practice.

The control group attended classes designed by study investigators on topics relevant to the mental and physical health of college students such as stress management, drug abuse and eating disorders. In addition, a variety of student participation activities were employed such as mock debates and role-playing.

Both groups were required to participate in 12 hours of classes across the study period. Meditators were provided with a meditation compact disc for practice at home. Homework for the control group was a weekly self-improvement paper.

After the study interventions were finished, the students participated in a laboratory stress test designed to investigate how the body's inflammatory and neuroendocrine systems respond to psychosocial stress.

No differences were seen between students randomized to compassion meditation and the control group, but within the meditation group there was a strong relationship between the time spent practicing meditation and reductions in inflammation and emotional distress in response to the stressor.

Consistent with this, when the meditation group was divided into high and low practice groups, participants in the high practice group showed reductions in inflammation and distress in response to the stressor when compared to the low practice group and the control group.

"It will require conducting stress tests before and after meditation training in order to conclusively show it was the practice of compassion meditation that resulted in reduced stress responses," says study co-author Thaddeus W.W. Pace, PhD, assistant professor, Department of Psychiatry and Behavioral Sciences at Emory.

"But these initial results are quite exciting," says Pace. "If practicing compassion meditation does reduce inflammatory responses to stress it might offer real promise as a means of preventing many conditions associated with stress and with inflammation including major depression, heart disease and diabetes."

Raison concurs. "Based on the promising findings from this study we are planning to offer compassion meditation classes to patients at Emory Winship Cancer Institute, and have partnered with the Emory Predictive Health Institute to study potential long term effects of compassion meditation on health and well-being," says Raison.
 

สมาธิแบบเจริญเมตตาช่วยพัฒนาศักยภาพในการรับมือกับความเครียดได้ดีทั้งทางด้านกายภาพและด้านอารมณ์

ข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าใหม่ๆ ที่ออกมาพบว่า คนที่ฝึกสมาธิแบบเจริญเมตตาจะได้รับประโยชน์ในแง่ที่ช่วยลดอารมณ์ที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และ ลดการแสดงออกทางพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อความเครียด ที่เกิดจากความหดหู่ทางจิตใจและการเจ็บป่วยทางกายได้ ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในเรื่องนี้ได้รับการเผยแพร่ทางเว็บไซท์ www.sciencedirect.com และตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชื่อ Psychoneuroendorcrinology

“ในขณะที่ความสนใจส่วนใหญ่ที่ให้กับการทำสมาธิมุ่งเน้นไปที่เพื่อช่วยให้ใจเกิดความสงบ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการโฟกัสของใจ และเพื่อเพิ่มความมีสติรู้ตัวของคนเราให้มากขึ้น ยังมีคนส่วนน้อยที่รู้จักการทำสมาธิประเภทที่ออกแบบให้มีผลเจาะจงในการหล่อเลี้ยงใจให้มีความเมตตา” ศาสตราจารย์ กีเช ลอบแซง เทนซิน เนกิ ผู้ซึ่งออกแบบการทำสมาธิประเภทดังกล่าวและสอนวิชาสมาธิในการทำการศึกษาเรื่องจิตศึกษากล่าว  
เนกิเป็นอาจารย์อาวุโสของภาควิชาศาสนา เป็นผู้อำนวยการร่วมของความร่วมมืออีมอรี่เรื่องจิตศึกษา เป็นประธานและผู้อำนวยการด้านจิตวิญญาณขององค์กร ดรีพุง โลเซลลิง มอนาสทริ จำกัด

การศึกษาค้นคว้าที่ท่านทำอยู่นั้นมุ่งเน้นในเรื่องผลที่ได้รับจากการทำสมาธิแบบเจริญเมตตาที่มีต่ออารมณ์โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของคนเรา ต่อเซลล์สมองที่ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูล และต่อพฤติกรรมตอบสนองของคนเราที่มีต่อความเครียดอันเกิดจากความเป็นอยู่ทางสังคม และการศึกษานี้ยังได้ทำการประเมินอีกด้วยว่า การทำสมาธิมีอิทธิพลต่อการยกระดับปฏิกริยาการตอบสนองความเครียดได้ในระดับไหน

“จากศึกษาพบว่า การทำสมาธิที่ออกแบบมาเพื่อหล่อเลี้ยงให้มีความเมตตาในจิตใจนั้นน่าจะมีผลต่อวิถีการทำงานทางสรีระของคนเราชึ่งถูกควบคุมให้สูงขึ้นหรือต่ำลงโดยความเครียด และน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยของคนเราด้วย” นายแพทย์ชาร์ล เอล เรสัน 
ผู้อำนวยการโครงการกายและจิต ภาควิชาไซเชียทริ แอนด์ บีเฮฝวิโอรอล ไซส์ (Psychiatry and Behavioral Sciences) มหาวิทยาลัยการแพทย์ลัยอีมอรี่ และ เป็นผู้เขียนผลงานการศึกษาในเรื่องนี้ อธิบาย

นักศึกษาระดับอุดมศึกษาที่มีสุขภาพดีจำนวน 61 คนอายุระหว่าง 17-19 ปีเข้าร่วมในโครงการค้นคว้านี้ ครึ่งหนึ่งของจำนวนนักศึกษาดังกล่าวถูกสุ่มเลือกขึ้นมาเพื่อส่งเข้าคอร์สฝึกสมาธิแบบเจริญเมตตาเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ส่วนนักศึกษาอีกครื่งหนึ่งที่เหลือถูกส่งไปอยู่ในกลุ่มสนทนาหัวข้อสุขภาพ

ถึงแม้ว่าการนำเสนอในครั้งนี้เป็นการใช้ฆราวาส แต่การฝึกสมาธิที่ใช้ในการทำการศึกษาครั้งนี้เป็นแบบที่ปฏิบัติโดยพระภิกษุทิเบต ตามแบบพระพุทธศาสนานิกายวัชรยาน ที่มีชื่อเรียกว่า “โล จอง” ซึ่งมีอายุเก่าแก่สืบทอดมาเป็นพันปี วิธีการฝึกสมาธิแบบนี้ใช้การวิเคราะห์วิจัยเพื่อกระตุ้นให้ผู้ปฏิบัติทราบถึงความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตนเองที่มีต่อผู้อื่นที่ตนเองก็ไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อน เป้าหมายในระยะยาวของการฝึกสมาธิแบบนี้เพื่อให้ผู้ปฏิบัติสามารถพัฒนาอารมณ์และพฤติกรรมในทางเห็นแก่ประโยชน์สุขของผู้อื่นขึ้นในจิตใจ 
ในทุกคอร์สของสมาธิในโครงการนี้จะเป็นการผสมผสานของกิจกรรมการสอน การสนทนากลุ่ม และการปฏิบัติสมาธิเข้าด้วยกัน

ส่วนผู้ที่อยู่ในกลุ่มสนทนาจะต้องเข้าร่วมชั้นเรียนที่ได้รับการออกแบบโดยนักสำรวจทางการศึกษา เพื่อร่วมสนทนาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทางจิตและสุขภาพทางกายของนักศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นต้นว่า เรื่องการจัดการกับความเครียด เรื่องการเสพยาเสพติด และเรื่องเกี่ยวกับโรคสูญเสียการควบคุมการบริโภคอาหาร  นอกจากนี้ยังมีการนำเอากิจกรรมอื่นๆ มาร่วมใช้ด้วยเช่น การจำลองการโต้วาที การจำลองการแสดงบทบาทต่างๆ

นักศึกษาทั้งสองกลุ่มจะต้องเข้าร่วมในชั้นเรียนต่างๆ ที่กำหนด ตลอดระยะเวลาของการทำโครงการศึกษานี้เป็นเวลารวมทั้งสิ้น 12 ชั่วโมง  นักศึกษาในกลุ่มที่ต้องฝึกสมาธิจะได้รับคอมแพ็คดิสก์ที่สอนเกี่ยวกับการทำสมาธิให้ไปฝึกปฏิบัติที่บ้าน ส่วนการบ้านของนักศึกษาในกลุ่มที่ต้องเข้ากลุ่มสนทนาคือการทำรายงานเกี่ยวกับพัฒนาการของตนเองส่งทุกสัปดาห์

หลังจากการศึกษาคอร์สต่างๆ จบสิ้นลง นักศึกษาจะต้องเข้าห้องเเล็ปทดสอบความเครียดซึ่งออกแบบโดยนักสำรวจทางการศึกษาเพื่อหาข้อมูลว่า ความโกรธแบบเป็นฟืนเป็นไฟทางกาย และระบบของเซลล์สมองที่ทำหน้าที่รับและส่งข้อมูลมีปฏิกริยาการตอบสนองอย่างไรต่อความเครียดที่เกิดจากวิถีชีวิตในสังคม

ผลการทดสอบไม่พบข้อแตกต่างกันระหว่างกลุ่มของนักศึกษาที่ถูกสุ่มเลือกให้ไปเข้าคอร์สทำสมาธิแบบเจริญเมตตากับกลุ่มของนักศึกษาที่ร่วมอยู่ในกลุ่มสนทนา แต่ภายในกลุ่มนักศึกษาที่เข้าคอร์สทำสมาธิด้วยกันเองพบว่า ระยะเวลาที่นักศึกษาแต่ละคนในกลุ่มนี้ใช้ในการทำสมาธิกับปริมาณที่ลดลงของการตอบสนองต่อความหดหู่และความโกรธเคืองที่เกิดขึ้นทางอารมณ์มีความสัมพันธ์กันอย่างมาก.

เพื่อเป็นยืนยันในผลลัพธ์ดังกล่าว เราได้ทำการแบ่งนักศึกษาในกลุ่มเข้าคอร์สสมาธิออกเป็น กลุ่มที่มีการฝึกสมาธิมาก และกลุ่มที่มีการฝึกสมาธิน้อย ผลปรากฎว่า นักศึกษาในกลุ่มที่ฝึกสมาธิมากมีปฏิกริยาตอบสนองต่ออารมณ์โกรธและความหดหู่ลดลงอย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับกลุ่มนักศึกษาที่มีการฝึกสมาธิน้อย และกลุ่มนักศึกษาที่ทำกิจกรรมสนทนาอย่างเดียว

“เราจะต้องทำการทดสอบระดับความเครียดทั้งก่อนและหลังการฝึกสมาธิเพื่อที่จะได้สามารถสรุปได้ชัดเจนว่า การทำสมาธิแบบเจริญเมตตาส่งผลให้ปฏิกริยาตอบสนองต่อความเครียดลดลง” ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. ธาดดัส ดับบลิว ดับบลิว เพส แห่งภาควิชา
ไซเชียริ แอนด์ บีเอฝวิโอรอล ไซส์ ของอีมอรี่ กล่าว

“แต่ว่าผลลัพธ์เบื้องต้นที่ได้รับดังกล่าวก็ดูน่าตื่นเต้นทีเดียว” เพสกล่าว “ถ้าการทำสมาธิแบบเจริญเมตตาสามารถลดปฏิกริยาการตอบสนองต่อความเครียดอย่างเป็นฟืนเป็นไฟได้จริง สมาธิก็น่าจะใช้เป็นวิธีในการป้องกันอาการอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียดและความขุ่นเคืองได้ด้วย   รวมไปถึงอาการหดหู่ อาการของโรคหัวใจ และโรคเบาหวานด้วย

เรสันเห็นพ้องด้วยว่า “จากการที่ค้นพบข้อมูลดังกล่าวจากการทำการศึกษานี้ เราจึงกำลังวางแผนที่จะเปิดชั้นเรียนการทำสมาธิแบบเจริญเมตตานี้ให้กับผู้ป่วยที่สถาบันโรคมะเร็ง
อีมอรี่ วินชิฟ และจะร่วมมือกับสถาบันอีมอรี่ พรีดิกทีฟ เฮลธ์ ทำการศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เป็นได้ในระยะยาวที่การทำสมาธิแบบเจริญเมตตามีผลต่อการมีสุขภาพดีของคนเรา” เรสันกล่าว
 
 
 
ที่มา-http://www.scienceblog.com/cms/compassion-meditation-may-improve-physical-and-emotional-responses-psychological-stress-17522.html
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง