เมื่อประมาณช่วงก่อน 997 ปี หรือประมาณ 128 ปีเล็กน้อย ถ้าเรายกย่อง     วิลเฮล์ม วุนด์ ว่าเป็นบิดาแห่งปรัชญาสมัยใหม่ หลักของปรัชญาสมัยใหม่ที่ว่านี้ก็เป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาดังเดิมที่ต่อมาพัฒนากลายเป็นแนวคิดที่แตกต่างกันออกไปถึงมากกว่า 30 แนวคิด และแน่นอนว่าทั้ง 30 แนวคิดนี้ย่อมมีการทับซ้อน (overlap) กันบ้างในสาระสำคัญบางส่วน แต่หากพูดกันแบบรวมๆ แล้วก็คือ แนวคิดทั้งหมดเป็นการเสาะแสวงหาคำตอบเรื่องจิตของมนุษย์ที่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะส่วนที่เรียกว่า สมอง ของคนเรา  คำว่า “จิตวิทยา” (psychology) มาจากรากศัพท์ภาษากรีก คำว่า “psyche” หรือในภาษาอังกฤษใช้คำว่า “soul” และคำว่า “-ology’ มาจากภาษากรีกคำว่า “logos’ แปลว่า ความรู้ รวมทั้งสองคำเข้าด้วยกันแล้ว จิตวิทยา ก็คือ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องจิต นั่นเอง

ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่า ในส่วนลึกของวิชาจิตวิทยานั้น เป็นการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของจิตของทุกๆ ชีวิต รวมทั้งเรื่องความเป็นไปของจักรวาล ซึ่งเชื่อว่าเป็นสาเหตุของการเริ่มต้นวิชาปรัชญาเชิงจิตวิทยาของมนุษย์  ในโลกปัจจุบัน วงการจิตวิทยา ได้มีการศึกษาย้อนไปถึง ระบบแนวคิดด้านจิตวิทยาที่เก่าแก่ที่สุดของโลกคือ คำสอนในพระพุทธศาสนา โดยเจาะจงไปที่ พระพุทธศาสนาแบบทิเบต ซึ่งมีการสอนวิธีการวิเคราะห์ตนเองที่เชื่อว่าเป็นวิธีการที่มีความถูกต้องสูง และพุทธศาสนาแบบทิเบตยังประกอบด้วยเทคนิคการทำสมาธิอีกด้วย

พระพุทธศาสนาเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่ทำได้ถึงระดับรากฐานของจิตสำนึกจะเป็นไปได้ เมื่อคนๆนั้นเข้าถึงความสุขภายใน (ความสุขยั่งยืน) โดยผ่านการฝึกใจอย่างต่อเนื่องในเรื่องการสร้างความตั้งใจ ความสมดุลย์ทางอารมณ์ และสติ เพราะการฝึกใจในเรื่องดังกล่าวจะทำให้คนเราเรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงของสิ่งต่างๆ ที่คนเรารับทราบได้โดยระบบประสาทสัมผัสกับความเป็นจริงที่เกิดจากการปรุงแต่งของความเห็นที่เราสร้างขึ้นให้กับสิ่งต่างๆ เหล่านั้น  ผลของการฝึกใจ ทำให้คนเรามองเห็นสิ่งต่างๆ ตามที่ประสาทสัมผัสได้รับ รวมถึงการรับทราบทางใจด้วย ซึ่งเป็นการรับรู้ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงตามธรรมชาติ โดยปราศจากความคิดที่ปรุงแต่งบิดเบือนที่คนเรามักจะมีต่อสิ่งต่างๆ โดยเป็นนิสัย โดยคิดว่านั่นคือความจริง” ดร. ริชาร์ด เจ เดวิดสัน (RJD) กล่าว

จิตวิทยาและพระพุทธศาสนามีเป้าหมายอย่างหนึ่งร่วมกันคือ ทั้งสองศาสตร์ต้องการเข้าใจในเรื่องของทุกข์ และวิธีการปฏิบัติเพื่อลดระดับความทุกข์ให้ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามทั้งสองศาสตร์ก็มีแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ออกจะแตกต่างกันอย่างมาก  แต่คิดว่าสะพานที่สามารถเชื่อมความแตกต่างนั้นเข้าด้วยกันได้นั้นเป็นไปได้ 
ดร. เดวิดสัน กล่าวในปี 2004 เพื่อยืนยันในเรื่อง ผลกระทบในระยะยาวของการฝึกสมาธิอย่างยั่งยืน

“ผลของการทำงานของคลื่นเเกมม่าในสมองที่เกิดขึ้นระหว่างการฝึกสมาธิในปัจจุบันยังไม่ทราบชัด แต่จำเป็นจะต้องมีการทำการศึกษาเรื่องนี้ในอนาคตต่อไป  การศึกษาของผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกจิตน่าจะมีการนำเสนอรูปแบบของยุทธศาสตร์การทำงานวิจัยที่น่าเชื่อถือที่จะสามารถตรวจสอบระดับความเข้าใจที่เป็นระเบียบสูงของสมองและระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพได้อาร์เจดี กล่าว

เดวิดสันได้สุ่มเลือกนักฝึกสมาธิ 8 คนจาก 10 คน อายุ 15-40 ปีที่เคยผ่านการเข้าค่ายสมาธิที่ต้องนั่งสมาธิวันละ 8 ชั่วโมงมาแล้ว และยังแสดงความสนใจในเรื่องการทำสมาธิต่อ ให้มารับการฝึกสมาธิอีก 1 สัปดาห์  ต่อจากนั้นเดวิดให้พวกนักศึกษาที่เข้าร่วมคอร์สนั่งลงและต่อสาย             อีเลคโทรดของเครื่อง Geodesic Sensor Net ไปที่ศีรษะของพวกนักศึกษาเหล่านั้น

หลังจากการทดสอบเบื้องต้นผ่านพ้นไป พวกนักศึกษาจะถูกตั้งคำถามในหัวข้อต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในการจัดวิธีการทำสมาธิที่เหมาะสมให้กับแต่ละคนและเป้าหมายที่ต้องการให้บรรลุ

“สถานะของความเมตตากรุณาอย่างไม่มีข้อแม้เงื่อนไขในความเห็นของพวกเขาก็คือ ความพร้อมและความเป็นไปได้อย่างไม่มีขอบเขตในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น การฝึกสมาธิแบบที่ใช้ในคอร์สที่จัดขึ้นนี้จึงไม่ต้องการการ focus ใจไปที่วัตถุใดวัตถุหนึ่ง ความจำใดความจำหนึ่ง หรือภาพใดภาพหนึ่งโดยเฉพาะ”

สิ่งที่เดวิดสันค้นพบจากการศึกษาของเขาสร้างความตื่นตระหนกและในขณะเดียวกันก็เป็นการยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ถึง ประโยชน์ทางการแพทย์มากมายที่พระพุทธศาสนาได้มอบให้กับโลกมาเป็นเวลายาวนาน

ข้อมูลยืนยันว่า ประสิทธิภาพการทำงานของสมองเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมากในช่วงของการทำสมาธิ” อาร์เจดี กล่าว

เราได้รับความรู้จากการศึกษาครั้งนี้ว่า ช่วงกว้างของการทำงานของคลื่นแกมม่าที่วัดได้ในผู้เข้าร่วมคอร์สบางท่านสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการทำรายงานมา” อาร์เจดี กล่าว

ข้อมูลยังบ่งบอกว่า ช่วงการทำสมาธิระบบการส่งผ่านการทำงานของ neural network ในสมองเกิดขึ้นปริมาณมากมาย มีความถูกต้องสูง และมีอัตราความถี่สูงมากด้วย การที่การทำงานของคลื่นแกมม่าเพิ่มขึ้นตามลำดับในช่วงการทำสมาธินั้นสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า การรวมตัวของ neural ในช่วงดังกล่าวเปรียบเสมือนปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่จำเป็นต้องอาศัยเวลา และเป็นไปตามสัดส่วนของขนาดของการรวมตัวของ neural ด้วย

แผงการรวมตัวของคลื่นแกมม่าที่พบนี้มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงปริมาณของสติในขณะใดขณะหนึ่งอีกด้วย ตามการยืนยันของนักฝึกสมาธิแบบพุทธศาสนาหลายท่านและนักฝึกจิตในแบบอื่นๆ  นอกจากนี้ยังมีผลอื่นๆ ที่ได้จากการทำสมาธิ ที่เราพบที่เกี่ยวเนื่องกับความแตกต่างทางโครงสร้างของแสง EEG ระหว่างคน 2 กลุ่มในช่วงการพักผ่อนนอนหลับก่อนการทำสมาธิ ความแตกต่างดังกล่าวสามารถจับได้โดยอาศัยการจับที่เส้นแสดงพื้นฐานของใจ เพราะว่า เป้าหมายของการทำสมาธิ ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงเส้นพื้นฐานของใจเส้นนี้และเพื่อแยกแยะความแตกต่างระหว่างการทำสมาธิกับชีวิตประจำวัน
ดังนั้นสิ่งสำคัญก็คือว่า นักฝึกสมาธิที่ได้ฝึกสมาธิมาแล้วเป็นเวลายาวนานสามารถใช้อวัยวะส่วนสมองในการทำประโยชน์ได้มากกว่าปกติมากและการใช้ประโยชน์สมองดังกล่าวช่วยขยายระบบนิวรอน (neuron network) ของสมองให้ใหญ่ขึ้นด้วย สิ่งที่ค้นพบนี้ถือเป็นผลพิสูจน์ที่ได้รับโดยตรงจากการทำสมาธิ นอกจากนี้ยังมีผลโดยรวมอย่างอื่นๆ ที่นักทำสมาธิได้รับประโยชน์แม้ในขณะที่ออกจากทำสมาธิแล้วก็ตาม

ดังนั้นนอกจากที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าการทำสมาธิมีประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างไรบ้าง เช่น ทำให้ใจสงบ ทำให้สำรวม ทำให้มีสติรู้ตัว และไม่ขุ่นเคือง เป็นต้น การทำสมาธิยังทำให้สมองในส่วนที่ทำให้เกิดความเศร้าเสียใจทำงานลดลงถึงขีดสุด  ตามแนวคิดที่ได้จากการศึกษาของเดวิดสันบอกว่า ประโยชนด้านสุขภาพที่ได้รับจากการที่สามารถนำใจไปสู่ความสุขภายในและสามารถรักษาสภาพของใจให้อยู่ในสถานะนั้นได้โดยใช้กระบวนการทำสมาธิแบบพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะละเลยหรือปฏิเสธได้ 

ถ้าการปฏิบัติดังกล่าวและระบบ neuron network สามารถทำงานร่วมกันและส่งถ่ายไปสู่ระบบการบำบัดรักษาโรคได้ โดยใช้พื้นฐานทางพระพุทธศาสนาในรูปแบบทั้งที่เป็นและไม่เป็นพิธีกรรม เราก็จะได้เห็นยารักษาโรคชนิดที่ได้มาจากความสุขและประชาชนทั่วไปจะสามารถเข้าถึงระบบการรักษาทางจิตแบบนี้ได้จริง

 

ที่มา -http://www.helium.com/items/551900-psychology-and-buddhism-in-todays-society

แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง