ได้มีงานวิจัยที่ปรากฎออกมาชิ้นหนึ่งสนับสนุนความคิดที่ว่า
บทบาทของความฝันอาจจะมีอิทธิพลต่อคนเรามากกว่าที่เราเคยจินตนาการเอาไว้ตั้งแต่ต้นมากนัก
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านได้พยายามทำความเข้าใจถึงสาระสำคัญของความฝันมาเป็นเวลายาวนานหลายปี
เนื่องจากว่า ในหลายวัฒนธรรมบนโลกใบนี้ต่างก็มีความเชื่อที่เหมือนกันว่า
ในความฝันได้ซ่อนความเป็นจริงบางอย่างอยู่ด้วย
จากการศึกษา 6 กรณีตัวอย่าง
นักวิจัยได้ทำการสำรวจคนเกือบ 1,100 คนเกี่ยวกับหัวข้อเรื่องความฝัน “การตีความหมายความฝันของนักจิตวิทยาหลายท่านมีความหลากหลายแตกต่างกันมาก”
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Carey Morewedge แห่งมหาวิทยาลัย Carnegie
Mellon University และเป็นหัวหน้าทีมนักเขียนของงานวิจัยเรื่องความฝันนี้
กล่าว
“จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งของเราแสดงให้เห็นว่า
คนเราเชื่อว่า ในความฝันนั้นมีนัยยะบางประการที่เกี่ยวเนื่องกับเจ้าของความฝันนั้นและเกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมของเจ้าของความฝันนั้นรวมอยู่ด้วย”
ในการทำการศึกษาครั้งหนึ่ง
แสดงให้เห็นว่า สาธารณชนโดยทั่วไปเชื่อเกี่ยวกับเรื่องความฝัน โดย Morewedge และนักเขียนร่วมอีกคนหนึ่งที่ชื่อว่า
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Michael Norton แห่ง Harvard
Business School ได้ทำการสำรวจนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวน 149
คนในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอินเดีย และ ประเทศเกาหลีใต้
นักวิจัยกลุ่มนี้ได้ขอให้นักศึกษาจัดระดับทฤษฎีว่าด้วยความฝันต่างๆ
ของตนเอง ท่ามกลางความแตกต่างกันของ 3 วัฒนธรรม นักศึกษาจำนวนท่วมท้นรับรองทฤษฎีที่ว่า
การฝันของคนเราเป็นการเปิดเผยความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ที่เกี่ยวเนื่องกับตัวเจ้าของความฝันเองและเกี่ยวเนื่องกับโลกของเราด้วย
ความเชื่อนี้ได้รับการรับรองจากตัวแทนที่ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างที่เป็นชาวอเมริกันด้วย
ความฝันที่ว่า
เครื่องบินลำหนึ่งตกมีแนวโน้มว่าจะมีผลกระทบต่อแผนการเดินทางที่ได้วางไว้แล้วมากกว่า
ความคิดที่เกี่ยวกับการตก หรือการเตือนภัยของรัฐบาล และความฝันที่ว่าเครื่องบินลำหนึ่งตกก็ก่อให้เกิดระดับความกังวลใจได้เท่ากับการมีเหตุการณ์เครื่องบินตกจริงๆ
ในที่สุดแล้วนักวิจัยก็ต้องการจะรู้ว่า เหตุการณ์ที่เห็นในขณะที่ฝันนั้นมีความหมายตามนั้นจริงหรือไม่
และการทำนายความฝันได้รับอิทธิพลมาจากความเชื่อหรือความปรารถนาในขณะที่ตื่นหรือไม่ ในการศึกษาอีกชิ้นหนึ่ง ได้ทำการสำรวจทาง Online ชายและหญิงจำนวน
270 คนทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา โดยคนเหล่านี้ได้ถูกถามเกี่ยวกับความฝันของตัวเองที่เกี่ยวกับใครสักคนที่พวกเขารู้จัก
จากการศึกษาพบว่า คนเราจะให้ความสำคัญกับฝันดีที่เกี่ยวกับบุคคลที่ตัวเองชอบมากกว่ากับบุคคลที่ตัวเองไม่ชอบ
ในขณะเดียวกัน คนเราก็มักจะให้ความสนใจกับฝันร้ายที่เกี่ยวกับบุคคลที่เราไม่ชอบมากกว่า
“หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ” Morewedge กล่าว
“คนเราเชื่อเกี่ยวกับความฝันเมื่อความฝันนั้นมีความสอดคลัองกับความเชื่อหรือความปรารถนาต่างๆ
ที่มีอยู่ก่อนแล้ว กรณีศึกษากรณีหนึ่งที่พิสูจน์ในสมมุติฐานที่ว่านี้ก็คือ
คนที่เชื่อเรื่องพระเจ้ามักจะคิดว่าความฝันใดๆ ก็ตามที่ตัวเองฝัน
เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าได้พูดกับตน ในขณะเดียวกันพวกที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าก็มักจะเชื่อเรื่องความฝันว่า
พระเจ้าพูดกับตนเหมือนกัน ถ้าความฝันนั้นเป็นความฝันที่พระเจ้าสั่งให้พวกเขาจงหยุดงานเพื่อพักผ่อน
มากกว่าถ้าความฝันนั้นพระเจ้าสั่งให้พวกเขาจงเสียสละตนเอง
นักเขียนหลายท่านกล่าวว่า จำเป็นจะต้องมีการทำการวิจัยให้มากกว่านี้เพื่อสำรวจว่า
คนเราตีความความฝันกันอย่างไร และในกรณีใดบ้างที่ความฝันนั้นมีข้อมูลความเป็นจริงแอบแฝงอยู่ด้วย
“คนส่วนมากเข้าใจว่า
ความฝันมักจะเป็นอะไรบางอย่างที่บอกเหตุในอนาคตซ่อนอยู่
และนั่นทำให้ไม่สามารถที่จะห้ามคนเราในการพยายามที่จะตีความหมายในเรื่องราวที่คนเราฝัน
ไม่ว่าเรื่องราวที่ฝันอาจจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมของเราเอง หรือเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดแบบหลุดโลกก็ตาม
เนื้อหาเรื่องนี้ได้รับการพิมพ์ในนิตยสาร
The Journal of Personality and Social
Psychology ของ The American Psychology Association ฉบับเดือนกุมภาพันธ์
ที่มา-http://psychcentral.com/news/2009/02/18/dreams-influence-behavior/4194.html