การสร้างสมองที่ดีกว่า
ที่มหาวิทยาลัย The University of
Wisconsin (UW) ศาสตราจารย์ Richard
Davidson เชื่อว่า การทำสมาธิสามารถพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้นได้—
แม้ในพวกที่เป็นฆาตกรที่ประกอบอาชญากรรมร้ายแรงก็ตาม
ในค่ำคืนที่หนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูกของปลายเดือนมกราคม
ฝูงชนประมาณ 400 คนเข้าไปอัดแน่นอยู่ในห้องประชุมใหญ่ของ First Unitarian Society ซึ่งตั้งอยู่ในแถบตะวันตกของเมือง Madison
ชายคนที่ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อดูเขาในวันนี้ได้รับเลือกจาก
Time Magazine ในปี 2006 ว่าเป็นหนึ่งในจำนวน 100 ผู้ที่มีทรงอิทธิพลของโลก เขาเป็นผู้ที่สามารถติดต่อกับท่านลาไล
ลามะได้เป็นประจำ
หน้าที่การงานของเขาทำให้เขากลายเป็นซุปเปอร์สตาร์ตัวยงในโลกของวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท
ศาสตราจารย์ Richard J. Davidson เป็นนักวิจัยของ UW-Madison หรือที่เป็นที่รู้จักกันในหมู่เพื่อนฝูงและผู้ร่วมงานว่า
Richie เป็นผู้ที่ชื่นชอบการตั้งคำถามกับสาธารณชนทั่วไปพอๆ
กันกับการชอบตั้งคำถามกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยกันเอง
เขาคั่นการบรรยายด้วยเรื่องขำขัน
และบ่อยครั้งที่เขาจะยิ้มกว้างให้กับผู้ฟัง Davidson อยู่ในสภาพที่ผ่อนคลายมากในขณะที่เขาบรรยาย
เขาเป็นชาวเมดิสัน อายุ 57 ปี
(ปัจจุบันอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมืองนี้กับภรรยาชื่อ ซูซาน ซึ่งทำงานเป็น perinatologist
ที่โรงพยาบาล St. Mary Hospital) เขาสามารถบรรยายได้อย่างลื่นไหลโดยไม่ต้องมีโน๊ตใดๆ
เป็นเวลานานมากกว่า 1 ชั่วโมง ในขณะที่เขาบรรยายเขาจะเดินไปมาอย่างสบายๆ บนเวที
Davidson เป็นศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาและเป็นนักจิตวิทยาด้วย
และยังเป็นผู้อำนวยการของห้องทดลอง The UW’s Laboratory ซึ่งทดลองในเรื่อง
Affective Neuroscience กำลังบรรยายเรื่อง neuroplasticity
หรือความสามารถของสมองที่ยืดหยุ่นได้ ปรับตัวได้
และได้รับการฝึกหัดได้
ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องพื้นฐานของงานที่เขาทำอยู่ในขณะนี้
ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์รู้แล้วว่า
สมองของผู้ใหญ่จะสร้างเซล์ใหม่ๆประมาณ 5,000 เซล์ต่อวัน
และมันจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือที่เรียกว่า Plastic ตลอดอายุขัย
“สันดาน ในอดีตเชื่อกันว่า
เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้นั้นไม่เป็นความจริง” Davidson กล่าว
มันเป็นลักษณะที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่านการฝึกหัด”
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือว่า
มนุษย์สามารถควบคุมจิตใจของตัวเองได้ดีกว่าที่เราคิด
และวิธีการที่คนเราสามารถฝึกฝนจิตของตนเองได้ก็คือ การทำสมาธิ –ซึ่งเรื่องการทำสมาธิเป็นอีกความสนใจของงานของ
Davidson
“คนเราทุกคนแบกห้องเเลปทดลองเอาไว้ระหว่างหูทั้งสองข้างไปด้วยทุกหนทุกแห่ง
สิ่งที่เราควรทำคือ ใช้มันให้เป็นประโยชน์” Davidson บอกกับผู้เข้าฟัง
ผู้ฟังท่านหนึ่งถามเกี่ยวกับประโยชน์ต่างๆ
ที่เป็นไปได้ของการทำสมาธิในกรณีของนักโทษ มันเป็นคำถามประเภทที่รู้คำตอบอยู่แล้ว ในวันพฤหัสบดีที่
26 มีนาคมที่จะถึงนี้ Davidson จะเข้าร่วมเป็นกรรมการในการถกปัญหาเรื่องนี้อยู่พอดี
และจะตามด้วยการฉายภาพยนต์เรื่อง The Dhamma Brothers ซึ่งเป็นภาพยนต์สารคดีเรื่องใหม่
เนื้อหาในภาพยนต์เป็นการสำรวจผลลัพธ์ของคอร์สการทำสมาธิที่เข้มข้นคอร์สหนึ่งที่จัดขึ้นในทัณฑสถานที่มีการควบคุมที่หนาแน่นแห่งหนึ่งใน
Alabama มีเหตุผลที่ทำให้เชื่อว่า
สมาธินั้นได้ผล Davidson วิเคราะห์ว่า ด้วยการปรับทัศนคติเพียงเล็กน้อย
ทัณฑสถานสามารถเปลี่ยนเป็นวัดได้”
คำพูดประโยคนี้ก่อให้เกิดการตอบสนองที่เป็นคลื่นแห่งความประหลาดใจ
หรืออาจจะพูดได้ว่า ช็อค ก็ได้ มันเป็นการยากที่จะให้จินตนาการว่า
พระภิกษุที่อยู่ในชุดผ้าเหลืองนั่งสงบนิ่งทำสมาธินานเป็นชั่วโมง ที่แท้คือ นักโทษ
สวัสดี ดาไล
Davidson
ซึ่งทำงานอยู่ในห้องทำงานของเขาที่แสงแดดส่องเข้ามาได้ใน The UW’s Waisman
Center ยอมรับว่า ความสัมพันธ์ของเขากับท่านลาไล ลามะ
เริ่มต้นอย่างค่อนข้างน่าประหลาด
“มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง”
เขากล่าวถึงความสัมพันธ์
“ผมไม่เคยรู้จักกับผู้นำทางด้านจิตวิญญาณคนใดที่มีความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมากเช่นนี้มาก่อนเลย”
แต่ท่านลาไล ลามะ, Davidson กล่าว,
เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วยหัวใจ “ท่านมีความสนใจวิทยาศาสตร์อย่างล้ำลึก เหนียวแน่น
และยั่งยืนมาก ท่านได้ตั้งคำถามที่น่าจะได้มีการตรวจสอบได้อย่างน่าพิศวง
และท่านยังได้บอกอีกว่า
ท่านได้เตรียมพร้อมที่จะยกเลิกคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ขัดแย้งกับความจริงทางวิทยาศาสตร์อย่างจังๆ”
Davidson เองก็สนใจในเรื่องการปฏิบัติสมาธิมาก่อนที่จะได้รู้จักกับท่านลาไล
ลามะ เขาบอกกับผู้ฟังที่ The First Unitarian ว่า
ในความเป็นจริงแล้ว เขาได้เคยเดินทางไปประเทศอินเดียเมื่อปี 1974
สองปีหลังจากที่เขากำลังเรียนอยู่ที่ Harvard
ที่ประเทศอินเดียและต่อมาที่ประเทศศรีลังกา
ที่ Davidson ได้พบเห็นการฝึกสมาธิอย่างเข้มข้นเป็นครั้งแรก
และทำให้เขาเริ่มลองทำเล่นด้วยตัวเอง เขาย้ายมาที่ UW ในปี
1984 ในขณะนั้น เรื่องการทำสมาธิยังไม่ได้รับการพิจารณาว่า
เป็นหัวข้อที่สมควรจะได้รับการทำวิจัยในหมู่นักจิตวิทยา
ในปี 1992 ท่านลาไล ลามะได้ส่ง fax ที่สำคัญมากฉบับหนึ่งถึง
Davidson
สนับสนุนให้เขาทำการวิจัยเรื่องผลกระทบของการทำสมาธิ
และได้เชิญเขาให้ไปเข้าร่วมประชุมที่ธรรมศาลา ในประเทศอินเดีย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหุ้นส่วนทางด้านการศึกษาที่ยืนยาวมาถึงปัจจุบัน
Davidson มีแผนว่าจะเดินทางกลับไปที่อินเดียอีกครั้งในวันที่ 1
เมษายน เพื่อไปพบกับท่านลาไล ลามะ
เมื่อต้นปี 2000 Davidson และเพื่อนร่วมงานของเขา
ที่ Waisman Center ได้เริ่มต้นทำการศึกษานักทำสมาธิที่มีประสบการณ์ในการทำสมาธิในแบบต่างๆ
เช่น แบบเจริญเมตตา เป็นต้น และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า Functional
MRi Scan ได้ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยบันทึกการทำงานของสมองของบุคคลเหล่านี้ด้วย
การทำสมาธิแบบเจริญเมตตา
เป็นการทำสมาธิที่มีเป้าหมายเพื่อเข้าถึงสภาวะที่ใจเอิบอาบด้วยความรักและความเมตตาต่อทุกคน
โดยปราศจากเหตุผลและความคิดอื่นใด
นักทำสมาธิที่เข้าร่วมในการศึกษาครั้งนี้
แต่ละท่านมีชั่วโมงการทำสมาธิมาแล้วอย่างน้อยคนละ 10,000 ชั่วโมง
ถ้าคิดชั่วโมงโดยเฉลี่ยตลอดชีวิตคนพวกนี้น่าจะมีชั่วโมงบินสูงกว่านี้มากนัก
อาจจะสูงถึง 35,000 ชั่วโมง ซึ่งประมาณการโดยคราวๆ แล้วเท่ากับ การทำงานเต็มเวลาเป็นระยะเวลา
17 ปีทีเดียว
งานวิจัยของ Davidson เปิดเผยว่า
คนพวกนี้มีการทำงานของสมองส่วนหน้าด้านซ้ายที่เรียกว่า The left prefrontal
cortex เพิ่มขึ้น
สมองส่วนดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการมีความสุขของคนเรา และเป็นส่วนที่ขับเคลื่อนการทำกิจกรรมของสมอง
ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนความตั้งใจให้เป็นการกระทำ
ในขณะเดียวกัน Davidson ก็ไม่ได้รวมเอาแง่มุมทางด้านจิตวิญญาณเข้าไปในเรื่องของการทำสมาธิของนักทำสมาธิเหล่านี้
เพราะมันไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นการปฏิบัติทางด้านจิตวิญญาณเท่านั้นสมาธิจึงจะทำให้เกิดประโยชน์ได้
ในความเป็นจริงแล้ว
เรื่องการลดความเครียดด้วยการใช้พื้นฐานทางสมาธิ
เป็นเรื่องที่มีการสอนกันอย่างกว้างขวางตามศูนย์การศึกษาด้านการแพทย์ต่างๆ
ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำกันในฝ่ายของฆราวาส และแม้แต่ท่านลาไล ลามะเองยังกล่าวว่า
“สำหรับฉันแล้ว ความรักและความเมตตาคือตัวตนที่แท้จริงของศาสนา และการพัฒนาการของสองสิ่งนี้
เราไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อในศาสนาใดศาสนาหนึ่งโดยเฉพาะ”
Davidson เองก็อาศัยอยู่ในโลกของข้อมูลข่าวสารที่เป็นรูปธรรม
และอยู่ในวงการนักหนังสือพิมพ์ชั้นสูง มิใช่เป็นคนประเภทสรุปสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความรู้สึก
เขามักจะใช้คำพูดที่ว่า
“งานวิจัยที่ปราศจากการใช้อารมณ์ส่วนตัว” หรือ “ข้อมูลที่ชัดเจน”
เขาจะอธิบายอย่างระมัดระวังในสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องประโยชน์ของการทำสมาธิ
และในส่วนที่ยังเป็นแค่การคาดเดาที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ในขณะนี้”
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อมโยงของความเมตตาที่มีต่อผู้อื่นกับความรู้สึกของการมีความสุขส่วนตัว
Davidson อ้างการทำการทดลองที่เคยทำมาครั้งหนึ่งว่า
เขาได้ให้เงินจำนวน 50 เหรียญแก่ผู้เข้าร่วมการทดลอง
โดยให้ครึ่งหนึ่งของคนจำนวนนี้นำเงินนั้นไปซื้อของขวัญให้กับตัวเอง
กับให้คนอีกครึ่งนำเงินนั้นไปซื้อของขวัญให้กับผู้อื่น ผลปรากฎว่า
พวกที่นำเงินไปซื้อของขวัญให้ผู้อื่นรู้สึกว่า มีความสุขมากกว่า
หลังจากการกระทำเช่นนั้น
Davidson สรุปว่า “คนเราถูกสร้างขึ้นให้รับรู้ถึงความสุขที่ได้จากการทำให้ผู้อื่นมีความสุข
และสามารถมีความเมตตาในการที่จะช่วยลดความทุกข์ให้กับผู้อื่นได้ ผมคิดว่า
สองสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกัน แต่ในขณะนี้ยังมีการทำงานวิจัยในเรื่องนี้น้อยมาก”
งานวิจัยที่ทำอยู่ในขณะนี้
ในขณะที่งานวิจัยของนักจิตวิทยาทั่วไปจะเน้นไปในเรื่องของการทำหน้าที่บกพร่อง
–ความรู้สึกในเชิงลบและรูปแบบที่เป็นอันตราย Davidson
เลือกที่จะทำการสำรวจในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานของสมองกับอารมณ์ในเชิงบวกของมนุษย์
เป้าหมายก็เพื่อจะดูว่า มนุษย์สามารถสร้างการเปลี่ยนทางกายภาพให้กับสมองซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาชีวิตได้หรือไม่
จากการศึกษาที่มีมาก่อนหน้านี้บอกว่า
การทำสมาธิสามารถช่วยให้คนเราจัดการกับโรคความสนใจสั้น โรคความหดหู่
โรคความเครียดมาก และโรคหืดได้ Davidson และเพื่อนร่วมงานของเขายังต้องการที่จะรู้เพิ่มเติมว่า
การทำสมาธิสามารถเป็นประโยชน์กับนักศึกษา K-12,
ผู้ป่วยอายุรเวท, นักโทษ และคนอื่นๆ ได้อย่างไร
กองทุนที่ได้รับในการทำงานวิจัยต่อไปอีก
2 งานวิจัยจะช่วยทำให้เป้าหมายที่ต้องการทราบเหล่านี้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ถึงแม้ว่า
ยังจำเป็นที่ต้องมีการเสาะแสวงหาแหล่งเงินทุนในการวิจัยเพิ่มขึ้นอีกก็ตาม
เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้วมา สถาบัน The National Institute
of Health (NIH) ได้ให้เงินจำนวน 6 ล้านเหรียญกับศูนย์การวิจัย
Wisconsin Center เพื่อทำการวิจัยเกี่ยวกับ The
Neuroscience and Psychophysiology of Meditation เงินจำนวนนี้บางส่วนจะถูกนำไปช่วยสนับสนุนงานวิจัยที่
Davidson กำลังทำอยู่ในห้องเเลปของเขาในขณะนี้
สถาบันที่มีชื่อว่า The Fetzer Institute เป็นมูลนิธิที่ตั้งอยู่ที่ Kalamazoo, Mich. ได้บริจาคเงินจำนวย
2.5 ล้านเหรียญในการจัดตั้ง The UW Center for Creating a Healthy Mind และตลอดระยะเวลา 5 ปีที่สถาบันแห่งนี้ให้การสนับสนุนโครงการอยู่นั้นจะช่วยเร่งเครื่องการทำงานในเรื่อง
ระบบประสาทที่เกี่ยวกับความเมตตา ความรัก และการให้อภัย (neuroscience of
compassion, love and forgiveness) ศูนย์แห่งใหม่นี้จะใช้พื้นที่ของ
The Waisman Center ในการทำงาน ซึ่งการปรับปรุงสถานที่เพื่อใช้เป็นที่ทำงานกำลังดำเนินการอยู่
“สถาปนิกได้ออกแบบให้พื้นที่ 4,000
ตารางฟุตมีห้องทำสมาธิสำหรับนักวิจัย นักศึกษา และเจ้าหน้าที่ รวมอยู่ด้วย” Davidson
กล่าว
การทำงานในเชิงรุกของเราก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เป็นต้นว่า มีการจัดอบรมการลดความเครียดโดยใช้สมาธิเป็นพื้นฐาน
ให้กับครูและเจ้าหน้าที่ของ The Waisman Early childhood Program โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ
ส่วน The Center for Creating a Healthy Mind
นั้นกำหนดเอาไว้ว่าจะเปิดทำการในเดือนพฤษภาคม 2010
โดยได้มีการกำหนดที่จะเชิญผู้ที่จะมากล่าวเปิดงานคือ Jon Kabat-Zinn ศาสตราจารย์ที่เกษียณอายุแล้วจาก คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย The
University of Massachusetts และเป็นผู้เขียนหนังสือหลายเล่ม เช่น Where
You Go, There You Are: Mindfulness Meditation in Everyday Life
การทำงานของ Davidson ใช่ว่าจะปราศจากข้อโต้แย้ง
เขาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการผนวกเอาการศึกษาวิจัยไปเกี่ยวข้องกับการใช้สัตว์บางชนิดที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับมนุษย์
เขาโต้แย้งว่า งานของเขามีการสัมภาษณ์ในสื่อต่างๆ และบรรยายในที่สาธารณทั่วไป
“ในทางตรงข้ามกับข้ออ้างของบางคนที่ต่อต้านในเรื่องนี้”
เขากล่าว “ในความเป็นจริงแล้ว
ผมไม่เคยได้รับเงินสนับสนุนสักเพนนีเดียวในการทำงานวิจัย
ไม่ว่าจากทางรัฐบาลกลางหรือจากมูลนิธิเอกชนเพื่อให้ทำการวิจัยกับสัตว์ชนิดใดเลยในชีวิตการทำงานของผม
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สาธารณชนจะต้องบันทึกเอาไว้”
ทั้งสถาบัน The NIH และ
FeTzer ไม่เคยให้เงินสนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้สัตว์ที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับมนุษย์
Davidson กล่าวว่า
“เขาไม่ได้กำลังปกป้องสถานการณ์ความจริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้” ในแง่ที่ว่าสัตว์ทดลองได้รับการปฏิบัติอย่างไร
แต่เขามองว่า ในสายการทำงานนี้
ทั้งนักวิทยาศาสตร์และนักสิทธิมนุษยชนน่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้
“การทำการวิจัยกับสัตว์จะไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปจากโลกนี้ได้
ผมคิดว่า ทุกคนเห็นด้วยกับที่ผมพูดนี้” เขากล่าว “ดังนั้นหนทางที่เป็นไปได้จริงคือ
การปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อลดความเจ็บปวดของสัตว์ที่ถูกนำมาทำการวิจัย”
ชายผู้ที่มีภารกิจ
Davidson ก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ
ที่มีความเห็นในเชิงบวกว่า การเข้ามาบริหารประเทศของประธานาธิบดี โอบามา
จะเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการทำงานทางวิทยาศาสตร์ให้ดีขึ้น
“ความรู้สึกและแนวโน้มในการบริหารงานของรัฐบาลชุดใหม่ในมุมมองของผมคิดว่า
จะมีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นอย่างมากจากแต่ก่อน” เขากล่าว
“ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ ได้มีการเพิ่มตัวเลขงบประมาณของ NIH เข้าไปอย่างมากมายรวมอยู่ด้วย
ซึ่งนี่ถือว่า เป็นนิมิตหมายที่เป็นความหวังอย่างมาก ดังนั้นผมจึงคิดว่า นี่เป็นข่าวใหญ่สำหรับงานด้านวิทยาศาสตร์
โดยทั่วไป”
ถ้าจะพูดในชัดเจนลงไปอีกหน่อยเกี่ยวกับเรื่อง
การทำสมาธิ Davidson กล่าวต่อว่า
“ในขณะนี้ได้เกิดวิกฤตที่ไม่น่าเชื่ออันหนึ่งเกิดขึ้นในประเทศนี้ก็คือ วิกฤตเรื่องค่ารักษาสุขภาพของประชาชน
ซึ่งเรื่องนี้จะต้องได้รับการจัดการอย่างไรอย่างหนึ่งลงไปอย่างแน่นอน
มีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เชื่อถือได้ว่า ผู้ที่ทำสมาธิอยู่เป็นประจำจะแสดงยอดค่าใช้จ่ายเรื่องการรักษาพยาบาลลดลง
ซึ่งเรื่องนี้จำเป็นจะต้องมีการศึกษาอย่างระมัดระวัง... (สมาธิ)
เป็นตัวที่เข้ามาช่วยที่มีต้นทุนต่ำอย่างมาก และผลข้างเคียง ถ้ามี ก็เรียกได้ว่า
น้อยมาก ด้วย
จริงๆ แล้ว
การทำสมาธิได้มีการปฏิบัติกันในสมาชิกบางคนของสภาคองเกสอยู่บ้างแล้ว
ซึ่งในจำนวนนี้รวมถึง Tim Ryan (สมาชิกพรรคดีโมเเครต รัฐโอไฮโอ)
ผู้ซึ่งนั่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องความเหมาะสมเกี่ยวกับสุขภาพและการศึกษา
“(Ryan)
เคยมาเยี่ยมเยือนที่ห้องเเลปของผม” Davidson กล่าว
“เขามีความสนใจมากในวิชาการแขนงนี้
และมีความเชื่อมั่นอย่างมากในความสำคัญของสิ่งนี้
ในขณะนี้เขากำลังจัดการให้มีกระบวนรับการฟังเสียง(ความเห็น) จากประชาชนใน Capitol
Hill ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผมและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ
เข้าไปร่วมรับรู้ได้ด้วย
ซึ่งก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ
ที่ต้องการการสนับสนุนทางการเงิน Davidson จึงได้ไปกระตุ้นความสนใจกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล
มูลนิธิต่างๆ และผู้ให้เงินบริจาคเอกชนหลายต่อหลายราย เขาเลยกลายเป็นชายผู้มีภารกิจ
ในขณะนี้
นอกจากนี้ เขายังกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันความคิดของเขาให้สาธารณชนทั่วไป
ดังนั้นการปาถกฐาของเขาที่ The First Unitarian หรืออีกครั้งหนึ่งที่
The Overture Center ในนามของสถาบัน The Wisconsin
Academy of Sciences, Arts and Letters จึงทำให้เขาเป็นบุคคลแห่งปี
2004
“มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผม
และผมก็รู้สึกชื่นชอบการพูดคุยกับพวกผู้ฟังที่เป็นฆราวาส” Davidson กล่าวในการพูดต่อหน้าสาธารณชนครั้งหนึ่ง
“ผมทำงานบรรยายเพราะว่า
พวกเราในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไป มีจรรยาบรรณอย่างหนึ่งคือ
ต้องสื่อสารกับสาธารณชน เนื่องจากว่า งานวิจัยต่างๆ
ทางวิทยาศาสตร์ได้รับการสนับสนุนจากเงินภาษีของประชาชน”
“แต่สำหรับกรณีของผม” เขาเสริม
“มันยิ่งมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่า เรากำลังค้นพบหลายสิ่งหลายอย่าง
และกำลังทำงานเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนในระดับชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง”
ที่มา-http://www.thedailypage.com/isthmus/article.php?article=25405