เมืองธิมปู ประเทศภูฐาน (UCAN)พระภิกษุภูฐานหลายรูปกล่าวว่า การดื่มแอลกอฮอล์กำลังคุกคามต่อความมั่นคงทางสังคมของภูฐานและเรียกร้องให้คนหนุ่มสาวหันมาสนใจทางด้านจิตใจตามแบบธรรมเนียมวัฒนธรรมดั้งเดิมและดำเนินชีวิตอย่างมัธยัสถ์เพื่อหลีกหนีจากแอลกอฮอล์

“คนในวัยหนุ่มสาวของเราในขณะนี้กำลังติดบ่วงของค่านิยมการดื่มแอลกอฮอล์ ตามวิถีชีวิตแบบ กิน ดื่ม เที่ยว” ท่านนาวัง โชเดน (Nawang Choden) พระภิกษุทางพระพุทธศาสนารูปหนึ่งกล่าว ในการให้สัมภาษณ์

ท่านโชเดน Choden อายุอยู่ในวัย 50 ปีเศษ ประจำอยู่ที่เมืองธิมปู ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศภูฐาน กล่าวว่า เรื่องการดื่มแอลกอฮอล์แต่ก่อนนี้ไม่เคยเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลใจให้กับพระภิกษุและภิกษุณีทางพระพุทธศาสนามาก่อน เนื่องจากว่า การดื่มแอลกอฮอล์เป็นกิจกรรมของคนสูงอายุ ในช่วงงานเทศกาลและในพิธีกรรมต่างๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่ทำให้บุคลากรทางศาสนารู้สึกกังวลใจก็คือ ในขณะนี้มีปรากฎการณ์การเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มมากขึ้น

ตามข้อมูลของเดกิ เพลเดน     (Deki Pelden)          นางพยาบาลของคลีนิคเอกชนแห่งหนึ่งในเมืองธิมปู กล่าวว่า โรคตับอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตในประเทศภูฐานในช่วงระยะไม่กี่ปีมานี้

เธออ้างตัวเลขทางสถิติของกระทรวงสาธารณสุขแสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วย 98 คนจาก 1,471 คนของโรงพยาบาล ธิมปู รีเฟอร์รอล (Thimpu Referral Hospital) เสียชีวิตอันด้วยสาเหตุนี้ในปี 2007 และเมื่อปี 2008ที่โรงพยาบาลแห่งเดียวกันนี้ก็ได้รับคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคอันเนื่องจากแอลกอฮอล์เข้ารักษาในจำนวนเดียวกัน   แต่เนื่องจากวิธีการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นทำให้อัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยลดลง

อย่างไรก็ตาม มักจะพบว่า การที่ผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วจะกลับไปมีชีวิตตามปกตินั้นยากมาก ดังนั้นผู้ที่หายป่วยแล้วเหล่านี้จึงมักจะหันกลับไปดื่มแอลกอฮอล์อีกตามเดิม “ซึ่งนั่นหมายถึง การตายสถานเดียว” เธอกล่าว

ท่านโชเดน (Choden) เองก็แสดงความรู้สึกประหลาดใจว่า ชาวภูฐานซึ่งปกติแล้วเป็นผู้ที่สมบูรณ์ไปด้วยคุณสมบัติตามคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องการมัธยัสถ์และการละเว้นจากบาปอกุศลทั้งปวง สามารถตกเข้าไปอยู่ในวงจรของการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งมีผลกระทบต่อเยาวชนรุ่นใหม่ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจได้อย่างไร

ท่านโชเดน (Choden) นำเสนอว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนารวมทั้งภิกษุณีด้วย ควรจะได้ช่วยกันออกมาสมาคมกับพวกคนวัยหนุ่มสาวให้มากขึ้นเพื่อที่จะได้นำเอามรดกทางพระพุทธศาสนาไปสู่กลุ่มคนเหล่านี้ได้

ในความเห็นของท่านโชเดน “ด้วยวิธีการนี้เท่านั้นที่จะสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้จากเงื้อมมือของวัฒนธรรมแบบวัตถุนิยมได้”

แต่อย่างไรก็ตามพระภิกษุรูปนี้กล่าวว่า ท่านไม่ได้สนับสนุนให้สังคมของชาวภูฐานกลับไปมีวิธีชีวิตแบบดั่งเดิม แบบที่เรียกว่า “Talibanization”

“จิตวิญญาณของชาวพุทธโดยทั่วไปประกอบด้วยความโอบอ้อมอารี ความเมตตา และความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์โดยทั่วไป รวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลายด้วย ดังนั้นจึงไม่มีช่องว่างในจิตใจของชาวพุทธเหลือให้กับความเกลียดชัง” ท่านกล่าว

ท่านวังโม ธชีริง (Wangmo Tshering) ภิกษุณีท่านหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ดูแลเด็กกำพร้าในเมื่อในธิมปู กล่าวว่า รู้สึกเศร้าใจที่โรคอันเนื่องมาจากการดื่มแอลกอฮอล์และการเสียชีวิตอันเนื่องจากแอลกอฮอล์กำลังมีผลกระทบต่อสถาบันครอบครัว  “ผู้หญิงที่เป็นแม่ที่สูญเสียสามีอันเนื่องจากแอลกอฮอล์จำนวนมากต้องหาสามีใหม่ แต่สิ่งที่ยากก็คือ การที่จะต้องนำลูกที่กำพร้าพ่อเข้าไปเลี้ยงดูในครอบครัวใหม่ด้วย” เธอกล่าว

ธชีริง (Tshering) วัย 45 ปี ได้ช่วยเหลือดูแลเด็กกำพร้าอันเป็นผลมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ จำนวน 30 คน ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา

ท่านภิกษุณียังตั้งข้อสังเกตว่า ถึงแม้ว่าการดื่มแอลกอฮอล์จะไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่ชั่วร้ายในประเทศภูฐาน    แต่ในสังคมของประเทศนี้ก็ไม่เคยต้องประสบกับการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากการติดสุรามากเหมือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ตามวัฒนธรรมของชาวภูฐานจะดื่มเครื่องดื่มชนิดหนึ่งมีชื่อเรียกว่า อารา (Ara) ซึ่งกลั่นขึ้นเองในประเทศจากลูกเดือย ข้าวสาลี และข้าวจ้าว และได้ผสมสมุนไพรบางชนิดเข้าไปด้วย   เพื่อทำให้เครื่องดื่มชนิดนี้มีคุณค่าทางสุขภาพมากขึ้นด้วย   เธอกล่าว

ภิกษุณีท่านนี้ได้ติดตามการเปลี่ยนทิศทางของสังคมชาวภูฐานเมื่อได้มีปริมาณแอลกอฮอล์จากต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาในประเทศ เช่น จากอินเดีย เนปาล และจากประเทศตะวันตกทั้งหลาย เมื่อ 5 ปีมานี้ “ขวดบรรจุสุราที่หรูหรา และการโฆษณาในรูปแบบต่างๆที่จับใจคนในวัยหนุ่มสาว   ในขณะเดียวกันรัฐบาลของภูฐานเองก็ทำเหมือนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่  มิฉะนั้นก็จะทำให้รัฐขาดรายได้จากการจัดเก็บภาษีจากการขายแอลกอฮอล์ เธอกล่าว

ท่านโชเดน (Choden) ได้กล่าวโทษวัฒนธรรมการบริโภคนิยมว่า รัฐบาลภูฐานได้ให้การสนับสนุนธุรกิจการท่องเที่ยวมาตลอด
 อย่างไรก็ตามท่านโชเดน (Choden) ยอมรับว่า การท่องเที่ยวช่วยทำให้ประเทศภูฐานทันสมัยขึ้น แต่ท่านก็ได้แสดงความเศร้าใจว่า ในขณะเดียวกันการท่องเที่ยวก็เป็นตัวดึงเยาวชนออกห่างจากคุณค่าทางวัฒนธรรม

นายธินเลย์ เรบเซล (Thinley Rabsel) พนักงานของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งจบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ มีความเห็นว่า ยังมีอีกเหตุปัจจัยอื่นที่นำมาซึ่งปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นนี้    เยาวชนที่เป็นพุทธศาสนิกชนชี้ประเด็นไปที่การที่ประเทศภูฐานต้องขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือทางการเงินทั้งแบบให้เปล่า และแบบกู้ยืมจากต่างประเทศ เพราะในความเป็นจริงก็คือ ที่ผ่านมาประเทศภูฐานต้องกู้เงินจำนวนหลายร้อยล้านดอลล่าร์ต่อปีจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากประเทศอินเดีย

ทางด้านนายปีม่า คินเลย์ (Pema Kinley) แ เป็นครูสอนในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีความเห็นในทางตรงกันข้ามว่า รัฐบาลภูฐานได้เปิดตัวโครงการต่างๆ มากมายเพื่อให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี และอันตรายอันเกิดจากการเมาแล้วขับ   นอกจากนี้ประเทศภูฐานยังประกาศให้ทุกวันอังคารเป็นวันปลอดสุราอีกด้วย

ท่านโชเดน (Choden) กล่าวว่า มาตรการต่างๆ ของรัฐบาลดังกล่าวนั้นยังไม่เพียงพอ แต่อย่างไรก็ตามท่านโชเดน (Choden) ก็มีความเห็นเหมือนกับนายเรบเซล (Rabsel) ที่ว่า เงินกู้ที่ได้รับมาจากต่างประเทศเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศภูฐานขาดเสรีภาพและกลายเป็นประเทศบริโภคนิยม แล้วท้ายที่สุดประเทศก็จะค่อยๆ สูญเสียทรัพยากรทางธรรมชาติและมรดกทางวัฒนธรรมไปพร้อมๆ กัน

“การแอบแฝงของวัฒนธรรมต่างชาติที่แทรกซึมเข้ามา” เขากล่าวว่า “จะสามารถต่อสู้ได้ด้วยการเฝ้าระวังของพระภิกษุ ภิกษุณี และผู้สูงอายุชาวพุทธทั้งหมดร่วมมือกัน”

 

ที่มา-http://www.ucanews.com/2009/01/30/alcoholism-money-undermine-bhutanese-society-say-buddhist-monks/

 

 
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง