ชาติที่ทรงเกิดเป็นพระเตมียราช ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ที่ท่านระลึกชาติได้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย รู้ว่าทรงเคยตกอุสสุทนรกมายาวนาน จึงทรงแกล้งทำเป็นใบ้เพื่อให้ได้ออกบวช




ดวงตะวันแม้จะเป็นเจ้าแห่งดวงดาวที่สว่างที่สุด สามารถส่องโลกและจักรวาลให้สว่างไสวได้ แต่ก็ยังมีมุมมืดที่ดวงตะวันส่องไปไม่ถึง และไม่สามารถส่องหนทางดำเนินชีวิตให้กับผู้คนได้ แต่ปัญญานั้นเป็นแสงสว่างส่องทางดำเนินชีวิต ให้เราสามารถดำเนินไปได้อย่างถูกต้องดีงาม
แสงสว่างแห่งปัญญานั้น มีความสว่างที่ไม่มีขอบเขตจำกัด สามารถส่องถึงทุกที่ไม่มีสิ่งใดปิดบังได้ สว่างไสวทั้งกลางวันและกลางคืน ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า นัตถิ ปัญญาสมา อาภา ซึ่งแปลว่า แสงสว่างที่จะเสมอด้วยปัญญาไม่มี

ปัญญาของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นได้ ๓ ทาง คือ
- ทางที่ ๑.ปัญญาที่เกิดจากการฟัง การอ่าน การจดจำทำบันทึก โดยศึกษาจากท่านผู้รู้ทั้งหลาย เรียกว่า สุตมยปัญญา จัดเป็นปัญญาประเภทรู้จำ
- ทางที่ ๒.ปัญญาที่เกิดจากการคิด การศึกษาโดยทำวิจัย การพินิจพิจารณา ไตร่ตรองด้วยสติปัญญาของตน เรียกว่า จินตมยปัญญา จัดเป็นปัญญาประเภทรู้จริง
- ทางที่ ๓.ปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิภาวนา ซึ่งเป็นปัญญาที่เกิดจากแสงสว่างภายใน มาจากท่านผู้รู้ภายใน เรียกว่า ภาวนามยปัญญา จัดเป็นปัญญาประเภทรู้แจ้ง
การที่เราจะเพิ่มพูนปัญญาบารมีของเราให้เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง และรวดเร็วนั้น ขั้นต้นจะต้องแสวงหาอาจารย์ผู้รู้จริงเห็นจริง และทำได้จริงให้พบเสียก่อน โดยไม่เลือกว่าท่านจะเป็นใคร อยู่ที่ไหน ฐานะเป็นอย่างไร รูปร่างหน้าตาจะเป็นเช่นไร

การเพิ่มพูนปัญญาบารมีให้เต็มนั้น อุปมาเหมือนกับ พระภิกษุที่ออกบิณฑบาตโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะสูง ต่ำ หรือปานกลาง ฉันใด พระโพธิสัตว์ก็มีปกติอัธยาศัยไต่ถามผู้รู้ ฉันนั้น
วันนี้เรามาศึกษาประวัติการสร้างบารมีในพระชาติที่สำคัญอีกชาติหนึ่ง ที่พระองค์ทรงมีปัญญาเฉียบแหลมและลึกซึ้ง แม้ครั้งพระองค์ยังเป็นเด็กน้อยอยู่แต่ก็มีปัญญาไม่ด้อยไปกว่ามหาบัณฑิตของพระราชาทั้ง ๔ ท่าน ซึ่งถือว่ามีปัญญาสูงสุดของพระนคร
ดังเรื่องของมโหสถบัณฑิต ผู้ยิ่งด้วยปัญญาบารมี ที่ใช้ปัญญาในทางสร้างสรรค์พระนครให้สง่างาม และช่วยตัดสินคดีความได้อย่างถูกต้องเที่ยงธรรม ทำให้ชนทั้งหลายได้รับความสงบร่มเย็นดังเรื่องราวที่จะกล่าวต่อไปนี้
ณ โรงธรรมสภาภายในพระเชตวันมหาวิหาร อันเป็นสถานที่ประชุมกัน เพื่อฟังพระธรรมเทศนาของเหล่าพุทธบริษัทผู้ใฝ่แสวงหาความเจริญทั้งหลาย ในยามนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย แม้ภิกษุสงฆ์บางส่วนจะได้ทยอยลุกจากอาสนะ แยกย้ายกลับไปบำเพ็ญสมณธรรมกันบ้างแล้ว แต่ทว่าภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่ยังคงนั่งสนทนาธรรมกันต่อ ต่างพากันกล่าวสรรเสริญพระปัญญาบารมีของพระพุทธองค์อยู่ด้วยความรื่นเริงใจ
“อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีภาคเจ้าของเรา ช่างเป็นผู้มีพระปัญญามากเหลือเกิน ทั้งลึกซึ้งกว้างขวางประดุจแผ่นดิน แหลมคม ว่องไว อย่างยากที่จะหาผู้ใดเปรียบได้” พระมหาเถระรูปหนึ่งกล่าวขึ้น

ขณะนั้นพระผู้มีภาคเจ้า ทรงประทับผ่อนคลายพระอิริยาบถอยู่ภายในพระคันธกุฎี ในที่ไม่ไกลจากโรงธรรมสภานัก ทรงสดับถ้อยสนทนาของเหล่าภิกษุด้วยทิพโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตธาตุของมนุษย์และเทวาทั้งหลาย จึงเสด็จมายังโรงธรรมสภา ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ภิกษุจัดถวายแล้ว ได้ตรัสถามภิกษุเหล่านั้นด้วยพระสุรเสียงก้องกังวาน เต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอกำลังประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไร”
ครั้นสิ้นพระดำรัส พระมหาเถระรูปหนึ่ง ได้รับอาสาเป็นตัวแทนกราบทูลเรื่องที่หมู่สงฆ์กำลังสนทนาค้างอยู่ให้ทรงทราบ
พระบรมศาสดาครั้นทรงสดับคำสนทนาของภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในกาลนี้เท่านั้น ที่ตถาคตมีปัญญามาก แม้ในอดีตกาล ครั้งที่ญาณยังไม่แก่กล้า ยังอยู่ในระหว่างบำเพ็ญบุรพจริยา เพื่อประโยชน์แก่พระโพธิญาณอยู่ ตถาคตก็เป็นผู้มีปัญญามากเช่นกัน”
ตรัสดังนี้แล้วพระพุทธองค์ก็ประทับนิ่งอยู่ ภิกษุทั้งหลายเห็นเป็นโอกาสที่จะได้ฟังเรื่องราวโดยพิสดาร จึงกราบทูลอาราธนาพระองค์ให้ทรงเล่าถึงบุรพจริยาในครั้งนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงสัพพัญญู จึงได้ทรงนำเอาเรื่องในอดีตชาติมาตรัสเล่า ส่วนว่า เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไรนั้น โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)