จากตอนที่แล้ว พระเจ้าวิเทหราชทรงเห็นว่า บัณฑิตทั้ง ๕ ต่างก็จนแต้มด้วยกันทั้งหมด ไม่อาจแก้ปัญหานั้นได้ จึงประทานโอกาสเลื่อนเวลาออกไปอีกหนึ่งราตรี เหล่าราชบัณฑิตทั้งหมด จึงพากันถวายบังคมพระราชาแยกย้ายกันเดินออกจากท้องพระโรง
ส่วนมโหสถนั้นคิดอยู่ว่า พระราชาคงได้ทรงเห็นอะไรมาเป็นแน่ จึงตรงไปเข้าเฝ้าพระนางอุทุมพรเทวีเพื่อทูลถามพระนาง ส่วนพระนางอุทุมพรเทวีทรงนึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ตรัสตอบมโหสถว่า “เมื่อวานนี้พี่เห็นพระองค์ประทับยืนอยู่ที่ช่องพระแกลตรงเฉลียงหน้ามุขอยู่นานทีเดียว”
มโหสถได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ รีบถวายบังคมลา แล้วออกไปยืนอยู่ที่เฉลียงหน้ามุขตรงบริเวณช่องพระแกลตามที่พระนางตรัสเล่า มองผ่านทางช่องพระแกลออกไป จึงได้พบกับเงื่อนงำแห่งปริศนานั้น คือมโหสถได้เห็นแพะกับสุนัขอาศัยอยู่ที่ริมผนังพระมหาปราสาท สัตว์ทั้งสองดูช่างสนิทสนมกลมเกลียวกันยิ่งนัก คือเจ้าสุนัขได้ไปคาบหญ้าจากโรงช้างมามอบให้แพะ ส่วนเจ้าแพะก็ไปคาบเนื้อจากห้องทำครัวของพระราชามาตอบแทนสุนัขเช่นกัน

ขณะที่อาจารย์ปุกกุสะ อาจารย์กามินทะ และอาจารย์เทวินทะ แม้นจะกลับไปนั่งคิดนอนคิดกันเป็นการใหญ่ ขบคิดเท่าไรๆ ก็ยังมองไม่เห็นคำตอบ จึงชักหวั่นใจด้วยเกรงจะถูกขับไล่ออกจากแคว้นมิถิลาจริงๆ ในที่สุดจึงพากันไปปรึกษาท่านเสนกะผู้เป็นผู้นำคณะ โดยหวังว่าอาจารย์เสนกะจะเป็นที่พึ่งของพวกตนได้ แต่แล้วราชบัณฑิตทั้งสามก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้ง เมื่ออาจารย์เสนกะกล้ายอมรับตรงๆ ว่า แม้นตนก็ยังคิดไม่ตกเช่นกัน

“ใครกันท่านอาจารย์” เหล่าบัณฑิตทั้งสามถามขึ้นพร้อมกัน “จะใครกัน ถ้าไม่ใช่มโหสถบัณฑิต ข้าพเจ้ามั่นใจว่า บัดนี้มโหสถจักต้องมีคำตอบแล้วอย่างแน่นอน ไป..พวกเรา ไปหา มโหสถกันเถิด รับรองคราวนี้พวกเราไม่ผิดหวังแน่”
อาจารย์ปุกกุสะรีบค้านขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ ก่อนนี้เราเป็นฝ่ายขัดขวางมโหสถเรื่อยมา แต่ครั้นหมดท่า กลับต้องไปขอพึ่งพาอาศัยปัญญาของมโหสถ ฟังดูก็น่าละอายอยู่นะ”

บัณฑิตทั้งสามเห็นว่าท่านเสนกะกล้ายืนยันหนักแน่น กอปรกับพวกตนก็ยังหวงยศหวงตำแหน่งอยู่ ในที่สุดจึงเห็นคล้อยตามคำของท่านเสนกะ ตัดสินใจตามไปถึงเรือนของโหสถบัณฑิต
ฝ่ายมโหสถบัณฑิตครั้นทราบว่าอาจารย์ทั้ง ๔ พากันมาหาตน ก็มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องอื่น นอกเสียจากเรื่องปริศนาที่พระราชาตรัสถาม มโหสถจึงออกมาต้อนรับอาจารย์ทั้ง ๔ ตามมารยาทของเจ้าของเรือน
ครั้นแล้วท่านเสนกะก็ถามมโหสถทันทีว่า “พ่อบัณฑิต ก็ปริศนาที่พระราชาตรัสถามเมื่อเช้านี้ พ่อคิดได้หรือยัง”

“พวกเราตระหนักในข้อนี้ดี ว่ามีแต่พ่อมโหสถเท่านั้น ที่จะสามารถจะตอบปริศนานี้ได้” ท่านเสนกะออกปากชื่นชมมโหสถ ซึ่งเท่ากับสารภาพโดยอ้อมว่าพวกตนยังอับจนหนทาง
ครั้นแล้วจึงเอ่ยปากขอร้องมโหสถว่า “ถ้ากระนั้น พ่อบัณฑิตกรุณาบอกแก่พวกเราบ้างเถิด”
มโหสถบัณฑิตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ใคร่ครวญอยู่ว่า “หากเราไม่บอก อาจารย์ทั้ง ๔ ก็คงไม่แคล้วต้องถูกพระราชากริ้ว ในที่สุดก็จักถูกขับออกจากแว่นแคว้น เอาเถิด อย่าให้พวกเขาต้องถึงกับย่อยยับเลย เราจักบอกคำตอบให้สักครั้งเพื่ออนุเคราะห์แก่เขา”
ครั้นตกลงใจเช่นนี้แล้ว มโหสถจึงผูกคาถาขึ้น ๔ บท ซึ่งแต่ละบทมีเนื้อความต่างกัน ครั้นแล้วก็ให้อาจารย์เหล่านั้น เรียนคาถานั้นคนละบท โดยให้ถือปฏิบัติตามประเพณีนิยม คือ ไม่ว่าผู้เรียนจะอยู่ในวัยใดหรือฐานะใดก็ตาม จักต้องแสดงความเคารพต่อครูผู้สอน อาจารย์เหล่านั้นก็ตอบตกลง ยอมลดตัวนั่งลงบนอาสนะที่ต่ำกว่า พร้อมกับประนมมือน้อมรับคาถานั้นอย่างตั้งใจ

แม้นอาจารย์ทั้ง ๔ จะยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของคาถานั้นก็ตาม แต่ทุกคนก็พากันโล่งใจไปตามๆกัน ราวกับยกภูเขาอันมหึมาออกไปจากอก มั่นใจเหลือเกินว่า หากพระราชาได้ทรงสดับคาถานี้แล้ว ท้าวเธอต้องทรงพอพระทัยอย่างแน่นอน ครั้นจดจำคาถานั้นอย่างดีแล้ว อาจารย์ทั้ง ๔ จึงได้ขอตัวกลับ แล้วต่างก็แยกย้ายกลับสู่เรือนของตน

ดังนั้น เราจะเห็นว่า บัณฑิต แม้จะอยู่ในฐานะที่เป็นปฏิปักษ์ต่อตน แต่ก็ยังดีกว่ามีมิตรที่เป็นคนพาล เพราะบัณฑิตนั้น เมื่อถึงคราวคับขันยังเอาเป็นที่พึ่งพำนักได้ ส่วนคนพาลนั้นนำความเดือดร้อนมาให้ทุกเมื่อ จึงควรคบบัณฑิตแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ควรคบคนพาลเลย ส่วนเหตุการณ์ต่อเบื้องพระพักตร์ที่อาจารย์ทั้ง ๔ จะเฉลยปัญหาด้วยคาถาของมโหสถนั้นจะลงเอยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)