
ขณะที่พระเจ้าวิเทหราชทรงกำลังสนทนาปรับทุกข์กับอาจารย์ทั้ง ๔ อยู่นั้น มโหสถบัณฑิตจึงรีบเข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ กราบบังคมทูลท้าวเธอ พระเจ้าวิเทหราชทอดพระเนตรเห็นหน้ามโหสถบัณฑิตแล้ว ก็ทรงสบายพระทัยขึ้น จึงรับสั่งกับมโหสถว่า “พ่อมโหสถเอย เธอไม่เกรงกลัวเลยหรือ ขณะนี้มิถิลานครก็ถูกล้อมกำแพงเมืองไว้แล้วถึง ๓ ชั้น ในภาวะคับขันเช่นนี้ เธอจะสามารถนำพามิถิลานครให้รอดพ้นจากภัยในครั้งนี้ได้อย่างไร”
มโหสถ ได้ทูลท้าวเธอให้ทรงคลายความวิตกกังวลว่า “ข้าพระองค์มิได้เกรงกลัวกองทัพของพระเจ้าจุลนีเลย ขอพระองค์ทรงประทับให้สุขสำราญภายในเขตพระราชฐานตามพระราชอัธยาศัย เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ส่วนการปกป้องมิถิลานครนั้น ขอให้เป็นภาระของข้าพระองค์เถิด พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์จักขับไล่เหล่าอริราชศัตรูให้แตกพ่ายไปโดยเร็วที่สุด” กราบทูลดังนี้แล้ว ก็รีบถวายบังคมลาออกจากที่เฝ้า แล้วจึงเริ่มปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ
เมื่อเป็นดังนี้ มโหสถจึงคิดจะบำรุงขวัญชาวเมือง โดยให้ตีกลองร้องป่าวไปทั่วพระนคร พร้อมกับให้แจ้งแก่ชาวพระนครว่า “มหาชนทั้งหลาย จงทราบเถิดว่า ถึงข้าศึกจะรุกมาประชิดกำแพงเมืองแล้วก็ตาม แต่เราชาวมิถิลานครจักต้องสู้ และจะไม่มีวันพ่ายแพ้ให้แก่ใครเป็นอันขาด
ในเรื่องสงครามนั้น ท่านทั้งหลายจงอย่าได้วิตกกังวลไปเลย เพราะมิใช่เรื่องที่ควรเป็นทุกข์เป็นร้อนดอก ขอเพียงทำตามคำของข้าพเจ้าเท่านั้น รับรองว่าถึงอย่างไรกองทัพปัญจาลนครก็จักไม่อาจยึดมิถิลานครของเราไปได้ มีแต่จะหนีเตลิดเปิดเปิงกลับไป”
คำป่าวร้องของมโหสถบัณฑิตได้ผล สามารถเรียกขวัญกำลังใจของทุกคนให้กลับคืนมา พลิกฟื้นจากความตื่นกลัวให้กลายมาเป็นขวัญกำลังใจที่จะหยัดสู้ และพร้อมเสมอที่จะทำตามคำสั่งของผู้นำโดยไม่มีใครแตกแถว

พวกท่านทั้งหลายจงชวนกันกินชวนกันดื่มตามสบาย ชวนกันเล่นดีดสีตีเป่า ประโคมดนตรี ฟ้อนรำ เยื้องกรายไปตามบทเพลง จงโห่ร้องเฮฮา ตบมือ บันลือเสียงให้เอิกเกริก พากันเล่นมหรสพ บันเทิงเริงรื่น ให้ครื้นเครงสนุกสนานกันทั่วทั้งเมืองเถิด”
ชาวมิถิลานครทุกบ้านทุกตำบลทราบข่าวนั้นโดยทั่วกันแล้ว ต่างก็โล่งอกเบาใจไปตามๆกัน และยินดีที่จะทำตามนั้นทุกอย่าง ครั้นแล้วก็ชวนกันเป็นหมู่เป็นพวก ทั้งดื่มกิน เที่ยวเล่น รื่นเริงด้วยมหรสพตลอดทั้งวันไม่มีเว้นว่าง
การบำรุงขวัญชาวเมืองของมโหสถบัณฑิตสำเร็จผลอย่างงดงาม ความหวาดหวั่นครั่นคร้ามของชาวเมืองก็หมดไป ในไม่ช้าอุบายของมโหสถบัณฑิตก็เริ่มเห็นผล พระเจ้าจุลนีพรหมทัตเมื่อสดับเสียงประโคมดนตรีและอาการสรวลเสเฮฮาของชาวมิถิลา ที่ดูคล้ายกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
ท้าวเธอจึงมีรับสั่งถามเหล่าอำมาตย์ว่า “ท่านอำมาตย์ นี่มันอะไรกัน กองทัพของเราล้อมเมืองทั้งเมืองไว้แน่นหนาถึงเพียงนี้ แต่ชาวเมืองมิถิลากลับสนุกสนานครื้นเครง ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามีภัยล้อมอยู่รอบด้าน นี่ช่างไม่มีความกลัวตายกันบ้างเลยหรือ เหตุใดถึงยังรื่นเริงบันเทิงใจกันอยู่อีกเล่า”
เมื่อสิ้นเสียงพระดำรัสนั้นแล้วก็ไม่มีใครตอบได้
ขณะนั้น อำมาตย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในสหายผู้ทำหน้าที่สืบราชการลับของมโหสถ ก็แกล้งทูลมุสาแด่พระราชาว่า “ขอเดชะมหาราชเจ้า พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ปลอมตัวเป็นชาวเมืองแล้วเข้าไปสืบถามความเป็นไปภายในพระนคร โดยประตูเล็กซึ่งเป็นทางเข้าออกของชาวเมือง
ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพวกชาวเมืองมิถิลากำลังดื่มกิน เที่ยวเล่น รื่นเริงด้วยมหรสพอย่างสนุกสนาน จึงถามพวกเขาว่า “ท่านทั้งหลาย ขณะนี้กองทัพใหญ่ได้มาปิดล้อมเมืองของพวกท่าน กระไรเลยพวกท่านต่างไม่มีความหวาดกลัวต่อมรณภัยเลยหรือ”

ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบความมาดังนี้ แล้วแต่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจะทรงกรุณาดำริเถอะพระพุทธเจ้าข้า”
พระเจ้าจุลนีสดับคำทูลของอำมาตย์นั้นแล้ว ก็ทรงขัดเคืองเป็นอันมาก ตรัสตวาดด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า “หน็อยแน่ อ้ายพวกชาวมิถิลา ช่างดูหมิ่นกันนัก เอาเถอะในไม่ช้าก็คงจะได้เห็นดีกัน ว่าระหว่างเราจุลนีพรหมทัตกับวิเทหราช ใครจะยิ่งใหญ่กว่ากัน”
พระราชโองการของพระเจ้าจุลนีเป็นคำประกาศิต ที่พลุ่งออกจากพระโอษฐ์ด้วยอำนาจแห่งเพลิงโทสะ อันลุกกระพือพลุ่งโพลงอยู่ในพระหฤทัย ราวกะว่าจะทำลายล้างมิถิลานครให้สิ้นซากไป ส่วนว่ามโหสถบัณฑิตจะมีวิธีป้องกันอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป
พระธรรมเทศนาโดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)