เข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง

วันเข้าพรรษา พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ (หลวงพ่อทัตตชีโว)เรื่องเข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง https://dmc.tv/a7601

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน > ปกิณกธรรม > นานาสาระ
[ 13 ส.ค. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18288 ]
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ.2553
ตอน เข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง
 
 
 
เข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง
  พระธรรมเทศนา โดย พระภาวนาวิริยคุณ
(หลวงพ่อทัตตชีโว)
รองเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
 
 
 
 
        วันนี้เป็นโชคดีของหลวงพ่อที่จะได้มีโอกาสมาพบกับพวกเรา ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย ทั่วโลก
 
        ทุกๆพรรษา เป็นหน้าที่ของชาวพุทธที่จะต้องตื่นตัว มาสั่งสมบุญสั่งสมบารมีให้กับตัวเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ว่า...ต้องเตือนกันอยู่ทุกพรรษาหรือทุกปี ไม่เฉพาะแต่พวกเราในยุคนี้ สมัยที่1พระเดชพระคุณหลวงปู่ พระมงคลเทพมุนี ยังมีชีวิตอยู่ ท่านให้ความสำคัญในเรื่องของการเร่งสร้างบารมีในฤดูเข้าพรรษานี้อย่างมาก ถึงกับลงมาเข้มงวดกวดขันด้วยตัวเอง ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีเรื่องเล่ากันมาตลอด เมื่อใครนึกถึงหลวงปู่ฯ...เราก็นึกถึงวันเข้าพรรษา
 
1พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี สด จนฺทสโร ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
 
        มีเรื่องเล่าตั้งแต่สมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯมีชีวิตอยู่ว่า เข้าพรรษาแต่ละปีแต่ละพรรษา หลวงปู่ฯจะประชุมทั้งพระ ทั้งเณร ทั้งแม่ชี รวมทั้งญาติโยมที่มาวัดเป็นประจำ ท่านเรียกประชุมก่อนที่จะเข้าพรรษา และให้ไปทบทวนล่วงหน้าว่า ปีนี้...พรรษาที่จะถึงนี้ ซึ่งจะเป็นพรรษาของการสร้างบุญบารมีใหญ่ให้กับตัวเอง สิ่งที่จะต้องทำให้ได้มีอยู่สองเรื่องด้วยกัน คือ
 
1.ให้ไปทบทวนดูว่า ตัวเราเองนั้น มีข้อบกพร่องหรือนิสัยไม่ดีอะไรบ้าง เรื่องบกพร่องของตัวเองจะมีกี่เรื่องก็ตาม เลือกมาเพียงเรื่องเดียวที่คิดว่าสำคัญที่สุดที่จะต้องรีบแก้ไข ซึ่งแต่ละคนก็จะต้องรู้ด้วยตัวเอง แล้วตั้งจิตอธิษฐานว่า พรรษานี้ต้องแก้ให้หมดไปให้ได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า พยายามแก้นิสัยของตัวเองให้ได้นั่นเอง
 
        เพราะหลวงปู่ฯอาศัยการที่พร่ำสอนเคี่ยวเข็ญลูกศิษย์ลูกหามามาก หลวงปู่ฯได้พบว่า ในการที่จะแก้นิสัยให้กับใครก็ตาม ฤดูที่เหมาะที่สุดฤดูหนึ่ง คือ ฤดูเข้าพรรษา เพราะไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป และฝนฟ้าไม่อำนวยให้ไปที่ไหน อยู่บ้านดีที่สุด เหมือนหลวงพ่อ หลวงพี่ อยู่วัดเคี่ยวเข็ญตัวเอง ฝึกตามพระธรรมวินัย ในช่วงเข้าพรรษานั้นดีที่สุด เพราะฉะนั้น หลวงปู่ฯจึงแนะนำให้แต่ละคนไปสำรวจตรวจสอบตัวเองว่า เรามีนิสัยอะไร มีข้อประพฤติอะไร ที่มันไม่ค่อยจะเข้าท่า ที่มันไม่ค่อยเหมาะสม ไปเลือกเอามาเพียงหนึ่งเรื่องหนึ่งนิสัย แล้วในพรรษานี้ ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า จะแก้ให้ตกให้ได้ ถ้าแก้ให้ตกได้ ก็จะเป็นบุญใหญ่ของตัวเองในพรรษานี้
 
        นี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าใครคิดว่า นิสัยที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าของตัวเองที่สำคัญนั้น หมดไปแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็จะมีอีกเรื่องหนึ่ง คือ
 
 
 
2.อยากจะสร้างบารมีอะไรให้ยิ่งๆขึ้นๆไป ให้ไปเลือกมาเรื่องหนึ่ง แล้วตั้งใจทำให้ดีในพรรษานี้
 
        ความสำคัญของการเข้าพรรษา ไม่ใช่มีเฉพาะแต่ของพระภิกษุ ชาวพุทธในอดีตก็ให้ความสำคัญในการเข้าพรรษา กันถึงขนาดอย่างที่กล่าวมาแล้ว คือ ไม่ใช่แค่เป็นพรรษาของการทำบุญทำทานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นพรรษาของการแก้ไขปรับปรุงตัวเองด้วย เป็นพรรษาของการสร้างสมบุญบารมีให้ตัวเองด้วย เพราะฉะนั้น ต้องทบทวนตัวเองอย่างสำคัญทีเดียว
 
        พระผู้ใหญ่ในวัดปากน้ำฯ ซึ่งอยู่ในสมัยที่หลวงปู่ฯยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้เมตตาเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า มีอยู่คราวหนึ่งในช่วงเข้าพรรษา หลวงปู่ฯได้ถามทั้งพระทั้งเณรไปทีละรูป...ทีละรูปว่า “พรรษานี้ ใครอธิษฐานจิตที่จะแก้ไขนิสัยที่ไม่เข้าท่าของตัวเองเรื่องอะไรบ้าง”_เมื่อแต่ละรูปเล่าให้หลวงปู่ฯฟัง หลวงปู่ฯก็จะอนุโมทนาสาธุ ท่ามกลางพระภิกษุ-สามเณรที่อยู่กับเต็มโบสถ์
 
        มีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่ง พระผู้ใหญ่ในวัดปากน้ำฯ ท่านเล่าให้หลวงพ่อฟังว่า เมื่อหลวงปู่ฯได้ไล่ถามเรียงลำดับไปว่า “พรรษานี้ใครอธิษฐานจิตว่าอย่างไรบ้าง”_พอมาถึงสามเณรรูปหนึ่ง ได้ตอบอย่างกระมิดกระเมี้ยนว่า “พรรษานี้ ผม...”_แล้วก็เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะพูดต่อว่า “ผมจะเลิกแอบฉันข้าวเย็นครับ”
 
        ก็เป็นความน่ารักของสามเณร ที่กล้าเปิดเผยความผิดความพลาดของตัวเอง และมีความเคารพในหลวงปู่ฯ ตั้งใจที่จะแก้ไขตัวเองตามคำสอนของหลวงปู่ฯ ตั้งใจที่จะปรับปรุงตัวเองให้สมกับเป็นพุทธบุตร
 
        ปรากฏว่า พรรคพวกสามเณรด้วยกัน ก็กลัวๆเหมือนกันว่า เดี๋ยวสามเณรนี้คงโดนลงโทษแน่ ไปแอบฉันข้าวเย็นแล้วยังมาบอกท่ามกลางที่ประชุมต่อหน้าหลวงปู่ฯ แต่ว่ากลับตรงกันข้าม หลวงปู่ฯกลับยิ้ม และกล่าวว่า “แก้ไขตัวเองให้ได้นะ”_แทนที่ท่านจะตำหนิอะไรเพิ่ม หลวงปู่ฯกลับให้กำลังใจ อีกทั้งยังขยายความว่า “สามเณรทั้งหลาย ใครไปทำอะไรไว้ อธิษฐานแก้ไขกันให้หมดในพรรษานี้นะ เอาอย่างสามเณรรูปนี้”
 
        ถือเป็นการให้กำลังใจที่หลวงปู่ฯให้กับลูกพระลูกเณร และเป็นการให้ช่องทางในการที่จะสร้างบุญสร้างบารมีให้ยิ่งๆขึ้นไป ไม่เว้นว่าเป็นพระหรือเป็นเณร ไม่ว่าเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ เมื่อถึงช่วงเข้าพรรษา หลวงปู่ฯจะนำสิ่งเหล่านี้มาให้ลูกหลานของท่านได้ทบทวน
 
        สำหรับพวกเรา ในพรรษานี้ใครอธิษฐานว่า จะแก้ไขตัวเองในเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้ตั้งใจทำให้สำเร็จให้ได้
 
ถามว่า...ทำไมจึงต้องทำให้สำเร็จให้ได้
ตอบว่า...เพราะถ้าทำให้สำเร็จได้ นอกจะแก้ไขนิสัยที่บกพร่องของเราได้แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นบุญใหญ่ ยังได้สัจจบารมีติดตัวไปอีกด้วย ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องนำมาพินิจพิจารณา
 
        ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องรู้กัน ในเรื่องการแก้ไขนิสัย แม้ตัวหลวงพ่อเองก็เช่นกัน ก็มีข้อบกพร่องเช่นเดียวกับพวกเราเหมือนกัน จึงต้องแก้ไขตัวเองกันร่ำไป เพราะใครก็ตามที่ยังไม่หมดกิเลส ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ล้วนแต่มีข้อบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น แต่ในการแก้ไข อยากจะให้ข้อคิดซึ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง และใครๆก็ไม่ควรจะดูเบา กล่าวคือ
 
1.การที่ใครจะรู้ว่าตัวเองมีนิสัยที่ไม่ดีอะไรบ้างนั้น เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะมนุษย์เรานั้น ไม่มีใครเลยในโลกนี้ที่จะเห็นหน้าตัวเอง อย่าหลงว่าเคยเห็นหน้าตัวเอง ที่เห็นนั้นเป็นเพียง “เงาหน้า”_ในกระจก ที่เห็นนั้นซ้ายก็เป็นขวา ขวาก็เป็นซ้าย เพราะฉะนั้น ที่เห็นในกระจก ไม่ตรงตามความเป็นจริง ยิ่งถ่ายรูปออกมายิ่งไม่จริง เพราะถ้าสวยแสดงว่าไม่เหมือน...ถ้าเหมือนแสดงว่าไม่สวย ใครที่ดูรูปถ่ายตัวเองแล้วยิ้มย่องผ่องใส ดูว่าสวยเหลือเกินนั้น...ไม่จริง เพราะรูปที่ชัดที่สุด คือ รูปที่เห็นในกระจก ชัดกว่ารูปที่ถ่ายออกมา แต่ขนาดนั้น...รูปที่เห็นชัดที่สุดในกระจกก็เป็นแค่เงาเท่านั้น ยังไม่ใช่ตัวจริง เพราะไม่เห็นหน้าตัวเองนี้เอง เราจึงไม่เห็นนิสัยที่ไม่ดีของตัวเอง หรือจะเห็นได้ก็ยากมากๆ
 
2.จะหาใครมาบอกว่า เรามีนิสัยที่ไม่ดีอย่างไร เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะใครจะเข้าใจเรา ยิ่งกว่าตัวเราเองนั้น หาได้ไม่ง่าย
 
3.แม้จะหาใครมาบอกให้ได้ว่า เรามีนิสัยไม่ดีอย่างไร แม้เขาเตือนแล้ว ที่เราจะเชื่อเขา ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ลองถามตัวเองก็ได้ว่า เคยเถียงพ่อเถียงแม่ หรือไม่ เคยเถียงครู หรือไม่
 
4.แม้เชื่อผู้ที่มาเตือนแล้วว่าเรามีนิสัยไม่ดีอย่างไร จะหาวิธีแก้นิสัยที่ไม่ดีนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ทั้งนี้เป็นเพราะใครจะแก้นิสัยของตัวเองได้นั้น ถ้าไม่รู้ที่มาจริงๆ จะแก้ยาก ครั้นพอรู้ที่มาแล้ว ก็ต้องหาวิธีที่ตรงข้ามกับที่มาของนิสัยไม่ดีให้เจอ แล้วจึงเอามากำหนดเพื่อแก้ไข
 
5.แม้จะหาวิธีแก้ไขเจอแล้ว จะมีกำลังใจที่จะแก้ไขนิสัยที่ไม่ดีนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ เพราะถ้ากำลังใจในการแก้ไขนิสัยไม่ดี เกิดขึ้นได้ง่าย คงไม่มีขี้ยาติดบุหรี่กันเต็มบ้านเต็มเมือง คงไม่มีขี้เมาหรือผู้ที่เป็นแอลกอฮอลิซึ่ม (โรคติดแอลกอฮอล์)_กันเต็มบ้านเต็มเมือง
 
 
 
        ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า จะต้องใช้กำลังใจกันมากทีเดียว เพราะมันเคย มันคุ้น มันชิน มันติด มันฝังใจเข้าไปแล้ว เปรียบได้กับเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อยู่นี้ พอมันเปื้อนอะไรเข้าไปลึกๆแล้ว ต่อให้หมดผงซักฟอกไปเป็นกิโลๆ ซักกันจนผ้าขาด มันยังไม่ออก เพราะฉะนั้น การที่จะมีกำลังใจในการแก้ไขนิสัยที่ไม่เหมาะไม่ควร โดยเฉพาะนิสัยสำคัญๆของเราที่จะต้องเลือกมาแก้ไข ดังกล่าวมาแล้วนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ
 
        เพราะฉะนั้น จากตัวอย่างในเรื่องของสามเณรที่มีกำลังใจจะแก้นิสัยที่ไม่ดี คือ แอบฉันข้าวเย็น หลวงปู่ฯจึงอนุโมทนา ท่านไม่ติสักคำ ท่านกลับให้กำลังใจ
 
6.แม้มีกำลังใจแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว จะมีกำลังกายที่จะแก้ไขนิสัยไม่ดีของเรา ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ตรงนี้...เราคงเคยได้ยินคำว่า “ลงแดง”_เราคงจะได้ฟังกันมาบ้างว่า ในอดีต เมืองไทยมีโรงฝิ่นกันเกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง นายกรัฐมนตรีคนสำคัญของประเทศไทย คือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ประกาศเลิกโรงฝิ่น ห้ามสูบฝิ่นในประเทศไทย ถึงกับเอาฝิ่น เอาอุปกรณ์การสูบฝิ่น มารวมกันเผาที่สนามหลวง เพื่อไม่ให้มีฝิ่นมียาเสพติดในแผ่นดินไทย ปรากฏว่า มีคนติดฝิ่น ลงแดงตาย ป่วยตาย ไม่แค่คนติดฝิ่นเท่านั้น แม้จิ้งจกที่เกาะอยู่ตามผนังโรงฝิ่น ไม่กี่วันก็ตกมาตายเกลื่อน จิ้งจกก็ติดฝิ่นเหมือนกัน
 
       เมื่อพรรษาที่แล้ว มีคนที่ติดสุราอย่างหนัก พอรู้ว่าเราจัดให้มีโครงการบวช ก็ตั้งใจที่จะมาบวช เขาบอกว่า พยายามเลิกเหล้าเพื่อจะบวชมาหลายครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จสักที ครั้งนี้ตายเป็นตายต้องเลิกเหล้าให้ได้ แล้วได้มาสมัครบวชก่อนหน้าที่จะเริ่มการอบรมได้ประมาณ 5-6-วัน เมื่อยังไม่ได้บวช เขาก็ขออยู่ช่วยเตรียมสถานที่ในการอบรม ช่วยอยู่ได้สามวันปรากฏว่า ลงแดงตาย เนื่องจากกำลังกายไม่ให้ เมื่อต้องอดเมื่อต้องฝืนจึงตายเพราะการที่อดเหล้า แต่ตายตอนที่พยายามจะแก้ไขตัวเอง ใจเป็นกุศล ชายคนนี้ถึงตายก็ไปดี
 
        กำลังใจชนิดที่ “ตายก็ให้มันตายไป...ฉันจะแก้ไขตัวเองให้ได้”_แม้ยังไม่ได้แก้ไข ตายไปเสียก่อน กุศลจิตดวงนี้ก็ถือเป็นกุศลจิตที่แข็งแกร่งมากๆ น่าอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อหลวงพ่อได้ทราบข่าวก็พลอยปลื้มใจกับชายคนนี้ถึงแม้เขาตาย ปลื้มใจว่า ถึงอย่างไร ด้วยดวงจิตดวงนี้ของเขา เขาจะไปรอด
 
7.แม้จะมีกำลังกายที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองแล้ว จะได้โอกาสที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆ ตัวอย่างเช่น บางคนเคยติดคุกติดตะรางมา ออกจากคุกแล้ว เห็นโทษแล้วว่าการเป็นคนเจ้าโทสะไม่ดี หรือความประมาทด้านนั้นด้านนี้ไม่ดี ต้องแก้ไข แต่พอกลับไปถึงบ้านแม้แต่ภรรยาก็ยังไม่อยากต้อนรับ บอกว่าสามีเป็นคนขี้คุก หมู่ญาติไม่ต้อนรับ บอกว่าเป็นคนขี้คุก ไปสมัครงานที่ไหนเขาก็ระแวง บอกว่าเป็นคนขี้คุก จึงหมดโอกาสที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง
 
        ตรงนี้ก็ต้องระมัดระวัง หากมีญาติที่กำลังจะถลำอะไรไป หรือมีนิสัยที่ไม่เหมาะไม่ควรอะไร ต้องรีบช่วยเบรก รีบช่วยเตือน รีบช่วยแก้ ถ้าพลาดถึงกับไปติดคุกติดตะรางเข้าแล้ว มันแทบจะหาโอกาสแก้ตัวได้ยากจริงๆ
 
        อย่าว่าแต่ไปติดคุกติดตะราง ในการบวชครั้งนี้ก็มีบางคนมาสมัครบวช แต่สักเปรอะเต็มตัว ไปหมด บางคนสักกระทั่งบนหน้า กรณีอย่างนี้ เพื่อความเหมาะสมจึงจำเป็นต้องไม่ให้บวช
 
        หากผิดพลาดอะไรไปแล้ว ถ้าถลำไปมากเข้า แม้มีกำลังกายกำลังใจที่จะแก้ไข แต่โอกาสที่จะแก้ไขนั้นหายากมากๆ เพราะฉะนั้น ใครรู้ว่าตัวเองมีนิสัยอะไรที่ไม่ค่อยจะดี แค่มีแววว่าไม่ค่อยจะดี ต้องรีบแก้ไขในพรรษานี้
 
8.แม้มีโอกาสที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองแล้ว กว่าจะแก้ได้ต้องใช้เวลา และสิ่งแวดล้อมเอื้ออำนวย ไม่เช่นนั้นจะแก้ไขได้ยาก เนื่องจากนิสัยไม่ดีที่มันหยั่งรากลึกนั้น วันสองวัน...แก้ไม่ตกหรอก มันต้องหักดิบกันขนานใหญ่ และถ้าจะว่าไปแล้วต้องมีคนเชียร์ มีคนให้กำลังใจ ด้วยยิ่งดี
 
        ช่วงเข้าพรรษา ถือว่าเอื้ออำนวย เพราะมองไปรอบข้าง พี่ป้าน้าอา เขาก็ตั้งใจสร้างบุญสร้างบารมี เขาก็ตั้งใจแก้ไขตัวของเขา ยังไม่พอ ปีนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อครูไม่ใหญ่ของพวกเรา ได้ชักชวนเชื้อเชิญ หลายหน่วยงานของรัฐ หลายองค์กร หลายวัด เป็นร้อยเป็นพันวัดในประเทศไทย ให้มาช่วยกันจัดบวชแสนรูปทั่วประเทศ การที่พระมาบวชเพื่อสร้างบุญสร้างบารมีของท่านทั่วประเทศเป็นแสนรูปอย่างนี้ ก็เป็นกำลังใจเป็นบรรยากาศที่เอื้ออำนวยให้กันและกัน อีกอย่างหนึ่ง
 
        ณ วันนี้ผ่านวันเข้าพรรษามา 15-วัน ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกสองเดือนครึ่งจึงจะออกพรรษา เพราะฉะนั้น ในพรรษานี้ ใครยังไม่ได้อธิษฐานแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเอง ให้รีบทำ นอกจากจะแก้ไขนิสัยที่ไม่เหมาะไม่ควรได้แล้ว ยังจะเป็นสัจจบารมีติดตัวไปอีกด้วย ดังที่กล่าวมาแล้ว
 
        สำหรับท่านที่อยากจะเพิ่มให้ได้บุญบารมีเต็มๆ ให้สมกับที่เข้าพรรษา อยากจะอธิษฐานอะไรเพิ่มเติมก็ทำไป เอาให้เต็มกำลังเหมือนท่านที่เข้ามาบรรพชาอุปสมบท ในโครงการอุปสมบทหมู่เข้าพรรษา หนึ่งแสนรูป ทุกหมู่บ้านทั่วไทย ครั้งนี้ ท่านเหล่านั้นตั้งใจมาสร้างบุญสร้างบารมีของท่าน เพื่อตัวของท่านด้วย เพื่อจะได้มีบุญนี้ตอบแทนพระคุณโยมพ่อโยมแม่ของท่านด้วย แม้ว่าโยมพ่อโยมแม่จะละโลก หรือมีชีวิตอยู่ก็ตาม นี้ก็เป็นบุญใหญ่ของท่าน
 
        ตรงนี้ขอขยายความสักเล็กน้อย บางท่านถามหลวงพ่อว่า “ในการที่จะนึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ให้ได้ลึกซึ้งมากๆยิ่งขึ้นนั้น หลวงพ่อพอจะมีคำแนะนำบ้างหรือไม่” 
 
        เพราะรู้ดีว่า...คุณพ่อคุณแม่ให้กำเนิดเรามา คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเรามา เนื่องจากรู้อย่างนี้จึงได้บวช รู้อย่างนี้จึงได้กราบได้ไหว้คุณพ่อคุณแม่ แต่อยากจะนึกถึงพระคุณพ่อพระคุณแม่ให้ยิ่งๆขึ้นไป จะมีแนวทางอย่างไรบ้างหรือไม่ ในฐานะที่ในช่วงเข้าพรรษามีเวลาได้ใกล้ชิดกับคุณพ่อคุณแม่ หรือบางท่านที่มาบวชก็ถามว่า “มาบวชแล้ว จะนึกถึงพระคุณของโยมพ่อโยมแม่ให้ลึกซึ้งขึ้นนั้น หลวงพ่อจะมีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง”
 
      หลวงพ่อได้ให้คำแนะนำไปแล้ว แต่ก็อยากจะฝากไว้กับพวกเรา...ลูกพระธัมฯ หลานคุณยาย ทุกคนด้วย ข้อแนะนำก็คือ มีข้อคิดในการที่จะรำลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ให้ยิ่งๆขึ้นไป ดังนี้...
 
        ถ้าใครไม่เคยถาม...ก็ให้ถามตัวเองว่า “วันที่วิกฤตที่สุดในชีวิตของเรา คือ วันใด”
 
 
 
        วันที่วิกฤตที่สุดในชีวิตของเรา คือ วันเกิดของเรานั่นเอง วันเกิดนั้นเป็นวันวิกฤตที่สุดในชีวิตของมนุษย์วันหนึ่งทีเดียว และวันนี้แหละถ้าคิดให้ดี จะรักคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาอีกมาก
 
        เมื่อวันเกิดของเรา วันนั้นต้องบอกว่า เป็นวันที่อ่อนแอที่สุดในชีวิต เป็นช่วงที่อ่อนแอที่สุดในชีวิตของมนุษย์ ไม่มีช่วงไหนจะอ่อนแอกว่านี้อีกแล้ว จะลืมตามองหน้าแม่ยังลืมไม่ค่อยจะขึ้น เรื่องช่วยตัวเองไม่ต้องพูดถึง เพราะเราไม่มีเรี่ยวมีแรง และในวันนั้น เป็นวันที่โง่ที่สุดในชีวิต เพราะไม่รู้อะไรเลย มนุษย์เวลาเกิดมานั้นเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ ไม่มีใครรู้อะไร เกิดมาพร้อมกับความไม่รู้อะไรเลย ทุกอย่างต้องมาเรียนรู้ในภายหลังทั้งสิ้น และที่มาเรียนรู้ในภายหลังยังมีข้อแม้อีกว่า ที่ว่ารู้แล้วนั้น ความจริงรู้ผิดๆ อย่างนี้เรียกว่าโง่ซ้ำสอง บางคนซ้ำสาม ซ้ำสิบ ก็ยังมี
 
        อย่าว่าแต่คนทั่วไป แม้แต่นักวิชาการที่เขาว่ากันว่าเก่งๆ ปีนี้ค้นพบ...ตั้งทฤษฎีขึ้นมาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ยังไม่ทันข้ามปี ทฤษฎีเปลี่ยนไปเสียแล้ว แสดงว่าความรู้ที่แสนจะภูมิใจนั้น...โง่ซ้ำอีกแล้ว นี้คือความจริงของชีวิต
 
        เพราะฉะนั้น ในวันเกิดของเรา...กำลังกายที่จะช่วยตัวเองก็ไม่มี กำลังสติปัญญาที่จะช่วยตัวเองก็ไม่มี ยิ่งไปกว่านั้นวันเกิด...เป็นวันที่จนที่สุด ไม่มีอะไรติดตัวมาเลยแม้สมบัติสักชิ้น...จนที่สุดในโลก
 
        ในขณะนี้ หากว่ามีเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แน่นอนว่าก่อนอื่นก็ต้องใช้กำลังกายสู้กันก่อน เราก็พอมีกำลังกายที่จะสู้ แม้สู้ไม่ไหวก็ยังวิ่งหนีได้ แต่เมื่อวันเกิดของเรานั้น ไม่รู้ว่าจะเอากำลังกายมาจากไหน
 
        ในขณะนี้ หากว่ามีเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แม้ไม่มีกำลังกาย แต่สติปัญญาก็ยังพอมีที่จะสู้ แต่ในวันเกิดของเรานั้น เราโง่ที่สุด
 
        ในขณะนี้ หากว่ามีเหตุร้ายจะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม แม้ไม่มีกำลังกาย ไม่มีสติปัญญา แต่ยังพอมีเงินมีทอง พอจะจ้างพอจะวานให้ใครไปจัดการให้ ก็ยังพอที่จะสู้ได้ แต่ในวันเกิดของเรานั้น จะเอาสมบัติไปจ้างไปวานใคร เพราะเราจนที่สุด
 
        ในวันเกิดของเรานั้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่ของเรา เพียงแค่ท่านขี้เกียจเลี้ยงเรา เราก็เป็นแค่ขยะก้อนเดียวเท่านั้น แต่ปรากฏว่า คุณพ่อคุณแม่ของเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้ใครจะมาบอกว่า “อย่าเลี้ยงมันเลย เลี้ยงลูกคนจนไปเจ็ดปีนะ”_แม้จะต้องจน...ท่านก็จะเลี้ยง แม้ใครจะมาบอกว่า “กว่าจะเลี้ยงลูกแต่ละคนให้รอด ต้องอดตาหลับขับตานอน เหนื่อยแทบตายเชียวนะ”_แม้จะต้องเหนื่อยอย่างไร...ท่านก็จะเลี้ยง แม้ใครจะมาบอกว่า “พอลูกโตขึ้นมาอีกหน่อย ดื้อก็ดื้อ ซนก็ซนนะ”_แม้จะดื้อแม้จะซน...ท่านก็จะเลี้ยง แม้ใครจะมาบอกว่า “นอกจากดื้อนอกจากซนแล้ว ยังเถียงเก่งอีกด้วยนะ”_แม้จะเถียงเก่ง...ท่านก็จะเลี้ยง ท่านก็ยืนยันของท่านอย่างนี้
 
        หรือถึงแม้ ลูกจะไม่เคยสัญญาอะไรกับพ่อแม่เลย เหนื่อยแทบตายกว่าจะเลี้ยงมาจนโต เมื่อพ่อแม่แก่ชรา อะไรจะเป็นหลักประกันว่าลูกจะมาเลี้ยงดู ไม่ทิ้งขว้างตอนแก่ แม้ลูกจะทิ้งหรือไม่ทิ้ง...ท่านก็จะเลี้ยง นี้คือหัวอกหัวใจของคุณพ่อคุณแม่ของเรา
 
        เพราะฉะนั้น ถ้าใครนึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ยังไม่สมใจ ลองนึกถึงวันเกิดของเรา วันที่เรา...อ่อนแอที่สุดในชีวิต โง่ที่สุดในชีวิต จนที่สุดในชีวิต ท่านก็ยังไม่ทิ้งเรา ทุ่มเททุกอย่างให้กับเรา ถ้าได้นึกอย่างนี้ เดี๋ยวเราจะเห็นพระคุณอย่างอื่นตามมาอีกมากมาย
 
        ที่กล่าวมาแล้วก็เป็นลักษณะหนึ่ง อีกลักษณะหนึ่งที่อยากจะฝากเอาไว้เป็นข้อคิด คือ มีคุณพ่อคุณแม่บางท่านมาบ่นกับหลวงพ่อเหมือนกัน คุณแม่บางท่านบอกว่า “ลูกดื้อ ลูกว่ายาก โตแล้วก็ยังว่ายาก พอถามว่า ไม่เคยนึกถึงพระคุณแม่บ้างเลยหรือ ลูกก็ย้อนถามว่า...แม่มีพระคุณอะไรกับหนู แม่ก็ตอบว่า ตอนฉันเบ่งแกออกมา ฉันแทบจะขาดใจตาย แกยังไม่เคยคิดถึงพระคุณของแม่อีกหรือ ลูกก็สวนมาว่า...แม่ต่างหากที่จะต้องนึกถึงพระคุณของหนู ถ้าหนูไม่รีบออกมา แม่ตายนะ” นี่...กลับทวงพระคุณกับแม่ มนุษย์อย่างนี้มันมีอยู่ในโลก แต่ยกเอาไว้เถอะ
 
        (ถ้าจะนึกถึงพระคุณแม่ให้ยิ่งๆขึ้นไปล่ะก็ นึกถึงวันเกิดของเรานั่นแหละ แล้วเราจะเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ของเรานั้นมีน้ำใจประเสริฐ ทุ่มเทให้กับเราขนาดไหน เพราะฉะนั้น ท่านผิดบ้าง...พลั้งอะไรไปกับเรา ห้ามไปถือสาท่าน ลืมๆไปเสีย แล้วรีบหาทางตอบแทนพระคุณของท่านให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย พรรษานี้อยู่บ้านกับท่าน หรือมีโอกาสที่จะทำบุญทำทานกับท่านได้เต็มที่ ให้รีบทำ รีบสร้างบุญสร้างกุศล รีบตอนแทนพระคุณของท่านให้เต็มที่ในพรรษานี้)
 
        อีกทั้ง ถ้าอยากตอบแทนพระคุณท่านให้ยิ่งๆขึ้นไปล่ะก็ ยิ่งนั่งสมาธิมากเท่าไหร่ ใจละเอียดใจผ่องใจใสมากเท่าไหร่ เดี๋ยวจะเห็นพระคุณของท่าน มาเป็นแถวให้เราดู เข้าแถวเรียงกันมาเชียว ภาพตั้งแต่เราตัวเล็กๆ ท่านยังป้อนนม ยังอุ้ม ยังประคบประหงมเราอยู่ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ภาพที่แสนจะดีงามเหล่านั้นจะเข้าแถวมาเป็นสาย ถ้ายังไม่เป็นอย่างนั้น เราก็นั่งสมาธิเยอะๆ อย่าไปเสียเวลาดูทีวี (ยกเว้นดีเอ็มซี)_หลับตาทำให้ใสๆ พอใจใสๆนิ่งๆ ภาพแห่งความเมตตากรุณาของท่านที่มีต่อเราจะไหลมาเป็นสาย เหมือนอย่างกับกรอภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเรากลับมาดูใหม่ นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะรำลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ให้ยิ่งๆขึ้นไป
 
         ขอฝากไว้กับท่านที่บวชในพรรษานี้ เมื่อตั้งใจมาบวชแล้วก็นั่งสมาธิให้เต็มที่ ถึงองค์พระธรรมกายภายในเมื่อไหร่ ก็จะไม่ยากที่จะศึกษาวิชชาระลึกชาติ และถ้าระลึกชาติได้เมื่อไหร่ พระคุณของท่านจะปรากฏชัดแก่เราทีเดียว แม้ขณะที่เราอยู่ในครรภ์ของท่าน ขณะที่เราเพิ่งคลอด ซึ่งสภาพนี้เรานึกไม่ออกหรอก เราจะนึกได้ก็แต่ภาพในช่วงที่เราจำความได้แล้ว ส่วนภาพที่ตอนที่เราคลอดใหม่ๆ ท่านต้องยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเราเพียงไหน และเราก็เสี่ยงชีวิตที่สุด จะรอดตายหรือไม่รอดเพียงใด ภาพนั้นเราจำไม่ได้หรอก
 
        แต่ถ้าใครทุ่มเทตั้งใจนั่งสมาธิจนกระทั่งเข้าถึงองค์พระได้ มีโอกาสที่จะกำหนดจิตนึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ตอนนั้นแหละพระคุณอันท่วมท้นของคุณพ่อคุณแม่ก็จะยิ่งปรากฏชัดขึ้นมาในใจของเรา และเมื่อเป็นเช่นนี้ ความซาบซึ้งในพระคุณของคุณพ่อคุณแม่จะช่วยประคองใจของเราให้ผ่องใสได้ หลวงพ่อว่า ตลอดพรรษานี้ ประคองได้ทีเดียว สำหรับพวกเราที่อยู่ที่บ้านไม่ได้บวชก็เช่นกัน พรรษานี้ดินฟ้าอากาศเป็นใจ ไม่หนาวเกินไปไม่ร้อนเกินไป รีบๆนั่งสมาธิ นั่งสมาธิให้มากขึ้น ให้เข้าถึงองค์พระธรรมกายภายใน
 
        เมื่อเรามองภาพพระคุณพ่อพระคุณแม่ชัดแล้ว ก็ขอโยงไปอีกสักเล็กน้อย อย่างที่เคยเล่าให้พวกเราฟังหลายครั้งหลายหน แต่เนื่องจากมีท่านที่มาในภายหลังอาจยังไม่เคยได้ยิน หรือได้ยินแล้วแต่บางครั้งอาจจะปล่อยผ่านไป คือ เรื่องของความกตัญญูกตเวทีที่มีต่อพ่อแม่ ถามว่า “มี
 
ฤทธาอานุภาพมากไหม” ขอตอบว่า “มาก”
 
 
        เมื่อหลวงพ่อบวชใหม่ๆ จำได้ว่า...วันหนึ่งมีโอกาสได้นั่งสมาธิกับ2คุณยาย วันนั้นนั่งตั้งแต่ฉันเช้าจนกระทั่งถึงเพล ตอนบ่ายก็นั่งต่ออีกจนกระทั่งถึงประมาณสาม-สี่โมงเย็น พอมีโอกาสจึงได้ถามคุณยายอาจารย์ของพวกเราว่า “คุณยาย อยากจะทราบว่าทำไม พระสารีบุตร ซึ่งเป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา จึงมีปัญญาเป็นเลิศ ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่มีพระอรหันต์องค์ใดจะเทียบได้ ท่านเป็นรองก็แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น”
 
2คุณยายอาจารย์มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง
 
        คุณยายอาจารย์...นอกจากท่านจะเมตตาแล้ว ท่านจะรัดกุมมากๆ ท่านเคารพธรรม ท่านจะไม่ยอมให้มีอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนแม้แต่นิดเดียว ท่านหลับตาทันที นั่งนิ่งทำภาวนาของท่านไป ตรวจสอบของท่านไป ใช้เวลาประมาณห้าถึงเจ็ดนาที ทั้งๆที่นั่งมาแล้วตั้งครึ่งวันค่อนวัน แต่พอถามปัญหานี้กับท่าน ท่านนั่งนิ่งตรวจสอบแล้วตรวจสอบอีก พอท่านลืมตา ท่านตอบหลวงพ่อว่า “พระสารบุตร อัครสาวกเบื้องขวา ที่มีปัญญาเป็นเลิศ พระอรหันต์องค์ไหนก็เทียบไม่ได้ เพราะมีความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ ยายถอยหลังระลึกชาติไปดูเห็นอย่างนี้ ไม่ว่ากี่ชาติกี่ชาติ”
 
        (ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า คุณยายของเรา อย่าว่าแต่นั่งนิ่งๆไปสักห้านาทีเจ็ดนาที แล้วระลึกชาติ หลวงพ่อมีประสบการณ์กับคุณยาย ตอนที่คุณยายยังแข็งแรงอยู่ วันหนึ่งประมาณห้าโมงเย็น คุณยายพรวนดินต้นไม้ที่อยู่รอบๆกุฏิของท่านเป็นการออกกำลังกาย หลวงพ่อเห็นคุณยายเฉียงๆทางด้านหลัง คุณยายพรวนดินไป หน้าของท่านอิ่มอกอิ่มใจจังเลย หลวงพ่อเดินไปใกล้ๆโดยไม่ส่งเสียง เห็นท่าทางของท่านสบายๆ จึงไม่อยากรบกวนท่าน ยืนอยู่สักครู่ คุณยายรู้ตัว ท่านจึงเหลียวมาเห็นหลวงพ่อ
 
ท่านถามว่า “มายืนนานแล้วหรือ”
หลวงพ่อตอบว่า “สักครู่ได้...คุณยาย”
ท่านบอกว่า “ยายต้องออกกำลังกายบ้าง เส้นสายมันจะได้ยืด”
 
        หลวงพ่อจึงได้โอกาสถามคุณยายว่า “คุณยายพรวนดินไป นึกอะไรไปหรือ เห็นพรวนดินแบบสบายๆ รู้สึกคุณยายอิ่มอกอิ่มใจจังเลย”
 
        คุณยายตอบมาง่ายๆว่า “ยายก็ไม่ได้นึกอะไรหรอก พรวนดินไปก็ระลึกชาติไปว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นั้น ก่อนจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เมื่อครั้งยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ท่านสร้างบุญสร้างบารมีมายังไง มีความเข้มงวดกวดขันพระองค์เองยังไง ยายจะได้เอามาเป็นตัวอย่าง แล้วมาสร้างบารมีตามท่าน จะได้สั่งสมบารมีได้เร็วขึ้น”
 
        เมื่อคุณยาย...ท่านว่าอย่างนี้ หลวงพ่อก็สาธุกับท่านด้วย และภูมิใจด้วยว่า เราก็คงมีบุญไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ครูบาอาจารย์อย่างนี้ ทั้งๆที่ตัวเองก็ยังทำไม่ได้ แค่ได้นึกว่าเป็นลูกศิษย์ของท่าน ก็ยังปลื้มใจมาก)
 
         คุณยายซึ่งปกติ พรวนดินไปก็ระลึกชาติได้ แต่เมื่อหลวงพ่อถามปัญหาธรรมตรงนี้เข้าเท่านั้น คุณยายนั่งตัวตรง กายตั้งตรงเหมือนกับไม้ฉาก ตั้งตรงเหมือนเสาธง หลับตานิ่งลงไป ท่านเคารพในธรรม ท่านไม่ประมาทในธรรม เพราะเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องเป็นเรื่องตายกันทีเดียว ตอบพลาดนิดเดียวเสียหายหมด จะกระทบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทบถึงพระสารีบุตร กระทบถึงหลักธรรม
 
       คุณยายตอบมาชัดเจนว่า “ยายระลึกชาติทบทวนไปแล้ว กี่ชาติกี่ชาติ พระสารีบุตรมากด้วยความกตัญญูกตเวที ใครมีพระคุณกับท่านแม้เล็กน้อย ท่านก็ไม่ละเว้นที่จะตามไปตอบแทนพระคุณเขา เพราะเหตุนี้เองท่านจึงต้องบังคับตัวเองให้ต้องเค้นสติเค้นปัญญาเค้นศักยภาพที่มีอยู่ทั้งหมด เอาไปตอบแทนพระคุณเขา ใครทำดีกับท่านมาหนึ่ง ท่านต้องตอบแทนกลับไปเป็นสิบเป็นร้อย ไม่มีละเว้นเลย”
 
        ซึ่งในเรื่องเหล่านี้ ก็มีพยานหลักฐานปรากฏอยู่ ไม่ใช่แต่เฉพาะในชาติที่แล้วๆมาเหมือนอย่างที่คุณยายบอก แม้ในชาตินี้ก็มีปรากฏหลักฐาน กล่าวคือ ครั้งหนึ่ง มีพราหมณ์เฒ่าคนหนึ่งยกสมบัติให้ลูกไปหมด เพราะเห็นว่าตัวเองแก่แล้ว และคิดว่าจะอาศัยอยู่กินกับลูก คงไม่เดือดร้อน คิดว่ายกสมบัติให้แล้ว ลูกคงจะนึกถึงพระคุณของพ่อแม่ คงจะดูแลตนเองตนแก่ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ปรากฏว่าเมื่อพ่อยกสมบัติให้ ตั้งแต่นั้นมาลูกก็เริ่มตั้งข้อรังเกียจพ่อ หาทางไล่พ่อออกจากบ้าน ทำให้พ่อช้ำใจ
 
        เนื่องจากพราหมณ์เฒ่าเคยไปวัดบ้างเป็นครั้งคราว เคยตักบาตรเคยทำบุญบ้าง คุ้นเคยกับพระอยู่บ้าง จึงไปกราบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่วัด ไปขอบวช เพราะคิดว่าเมื่อลูกไม่เต็มใจให้อยู่ด้วย ไปโกรธไปแค้นก็เท่านั้น ไปทวงสมบัติลูกก็อายชาวบ้าน เขาจะหาว่าเลี้ยงลูกไม่เป็น หรือให้สมบัติลูกแล้วเอาคืน ก็เสียหายทั้งตัวเอง เสียหายทั้งลูก ดังนั้นบวชดีกว่า จะได้สร้างบุญสร้างกุศลให้ตัวเองด้วย
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงให้ไปบวชกับพระเถระองค์ใดก็ได้ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครอยากจะรับบวชรับเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ เนื่องจากแก่แล้ว ก็เป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปในวงการพระตั้งแต่ยุคนั้นแล้วว่า คนแก่เมื่อมาบวชแล้ว มักจะแก้นิสัยเดิมยาก (เพราะมันติด มันฝังใจ มันคุ้นมันเคย มันเป็นนิสัยไปแล้ว เป็นมาตลอดชีวิต แล้วจะให้มาแก้ตอนแก่มันยาก เหมือนดัดไม้แก่)
 
        พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรงประกาศว่า ใครจะรับเป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้พราหมณ์เฒ่านี้ ปรากฏว่าพระสารีบุตรขอรับเป็นพระอุปัชฌาย์ให้ ทั้งๆที่ทราบว่า ผู้ที่บวชเมื่อแก่นั้นแก้ไขยาก ฝึกยาก แต่ที่ท่านรีบเต็มใจรับ ทั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะท่านถือว่าท่านมีปัญญาเป็นเลิศ แม้จะดื้อท่านก็สามารถที่จะแก้ไขได้ฝึกได้
 
         เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามว่า เพราะเหตุใดจึงรับเป็นพระอุปัชฌาย์ พระสารีบุตรได้ทูลให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบว่า เหตุที่รับเป็นพระอุปัชฌาย์ให้พราหมณ์เฒ่า เพราะจำได้ว่า ครั้งหนึ่ง พราหมณ์เฒ่าเคยตักบาตรให้ท่านหนึ่งทัพพี (ในการบิณฑบาตของพระสารีบุตรนั้น แต่ละครั้งจะมีคนเข้าแถวเป็นร้อยเป็นพัน เป็นการยากที่จำได้ว่าใครบ้างที่เคยมาตักบาตรให้ท่าน)
 
        พระสารีบุตรบิณฑบาตมาตลอดชีวิตแห่งความเป็นพระ ไม่รู้ว่ามีคนเป็นพันเป็นหมื่นหรือเป็นแสนมาตักบาตรให้ท่าน แต่มีคนซึ่งไม่สำคัญอะไร มาตักบาตรให้ท่านหนึ่งทัพพี ท่านกลับจำได้ แสดงว่าใจของท่านเป็นอย่างนี้...ท่านมีความกตัญญูรู้คุณ ไม่ว่าใครจะมีคุณกับท่านแม้เพียงเล็กน้อย ท่านจะจดจำไว้ นี้แสดงว่าเป็นนิสัยข้ามชาติของท่าน เพราะฉะนั้น ที่คุณยายตอบว่า ความกตัญญูกตเวทีของพระสารีบุตรเป็นเลิศ นี้เป็นความจริงแน่นอน
 
        ต้องขอสารภาพกับพวกเราว่า ความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ ทำไมทำให้ได้ปัญญาเป็นเลิศ ในตอนนั้น หลวงพ่อไม่สามารถโยงติดต่อกันได้ เชื่อมเหตุตรงนี้...เชื่อมไม่ได้ จึงถามคุณยายซ้ำว่า “คุณยาย...ความกตัญญูกตเวทีนี้ ทำให้เกิดปัญญาเป็นเลิศขึ้นมาได้หรือ”_คุณยายตอบว่า “ใช่...เรื่องนี้สำคัญนะท่าน” แต่หลวงพ่อก็ยังต่อไม่ติดอยู่ดี
 
        จนกระทั่งหลายปีต่อมา เมื่อพบเหตุการณ์ต่างๆ แล้วจึงได้เข้าใจว่า การที่จะตอบแทนคุณใครสักคนหนึ่ง ให้ได้เต็มที่จริงๆ จะต้องใช้สติปัญญา ต้องใช้เรี่ยวแรง ต้องใช้กำลังใจ สูงมากๆ เอาง่ายๆก่อน...ถ้าพ่อแม่ตายแล้ว จะทำอย่างไร ที่จะตอบแทนพระคุณท่าน ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาตอบแทนท่านไม่ได้ หรือกษัตริย์บางพระองค์นึกถึงคุณความดีของมเหสีของตัวเองว่า เคยช่วยเหลือตัวเองมาอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะตอบแทนคุณของมเหสีได้อย่างไร ได้แต่สร้างสุสานชั้นเยี่ยม งามที่สุดของโลกเอาไว้ให้ ไปดูกันได้อยู่แถวๆอินเดีย ก็ทำได้เท่านั้น นั่นเป็นแค่ความระลึกถึง แต่จะให้เป็นบุญเป็นกุศล ให้ไปถึงมเหสีของตัวเองก็ยังทำไม่ได้ แม้มีอำนาจขนาดนั้น ร่ำรวยขนาดนั้น ปัญญาก็ขนาดเป็นมหาอำนาจ ยังทำไม่ได้ แต่เมื่อได้พบพระพุทธศาสนาแล้วจึงทำได้
 
        แสดงว่าการที่จะตอบแทนพระคุณของใครสักคนนั้น ยากมากๆหากจะตอบแทนให้เต็มที่ จะต้องเค้นศักยภาพจริงๆ เพราะฉะนั้น ตลอดภพชาติอันยาวนาน พระสารีบุตรเป็นบุคคลประเภทที่ใครมีพระคุณแม้แค่ข้าวสักคำ น้ำสักอึก ท่านไม่ลืมพระคุณ ต้องหาทางตอบแทนพระคุณให้ได้ ไปอาศัยร่มไม้ชายคาของใครแล้ว ไม่ว่าอย่างไรต้องตอบแทนพระคุณให้ได้ ท่านคงเป็นบุคคลประเภทนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วน จึงถูกบังคับให้เค้นทั้งเรี่ยวแรงเค้นทั้งสติปัญญา มาหาทางตอบแทนคุณเขา ตรงนี้นี่เอง จึงทำให้ท่านมีปัญญาเป็นเลิศ
 
        จากตรงนี้ก็อยากจะฝากพวกเราว่า ในเรื่องของความกตัญญูกตเวทีนี่แหละเป็นที่มาแห่งปัญญา เพราะฉะนั้น พรรษานี้ใครคิดว่าจะตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ของตัวเองในรูปแบบไหน ก็ให้รีบเค้นออกมาให้เต็มที่ พรรษานี้ตอบแทนท่านให้เยี่ยมเลย เป็นพระก็ตอบแทนในรูปของพระ ยังไม่ได้บวชเป็นพระก็ตอบแทนในรูปของลูกที่ดี ถ้าท่านมีชีวิตอยู่ อยากจะไปตอบแทนพระคุณท่าน ก็ให้นั่งสมาธิให้ใจใสๆ คิดได้แล้วก็ไปทำ ถ้าท่านละโลกไปแล้ว อยากจะตอบแทนพระคุณท่าน ก็ให้นั่งสมาธิให้ใจใสๆ พบแล้วก็ไปทำ นั่นเป็นการตอบแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ซึ่งต้องไปคิดต้องไปค้นเอา
 
        อีกเรื่องที่จะขอฝากพวกเราไว้ในครั้งนี้...มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อบวชได้สักสองสามพรรษา วันนั้นนั่งสมาธิไปก็ใจใสดี มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า ระหว่างพระคุณของพ่อแม่กับพระคุณของครูบาอาจารย์ อย่างไหนจะมากกว่ากัน ก่อนหน้านั้นก็เคยคิดว่า พระคุณพ่อกับคุณแม่ อย่างไหนจะมากกว่ากัน ไปคิดทำไมก็รู้ แต่พอใจใสๆมันเป็นอย่างนี้ทุกที ก็พอจะได้คำตอบว่า พระคุณของทั้งสองท่านนี้คงไม่ได้ตัดสินกันตรงที่ว่าใครอุ้มท้องหรือไม่ได้อุ้มท้อง แต่ก็เคยได้ยินบางคนบอกว่า ถึงอย่างไรแม่ต้องมีพระคุณมากว่าพ่อ เพราะเป็นคนอุ้มท้อง เรื่องนี้จึงค้างอยู่ในใจ
 
        แต่ในที่สุด เมื่อนั่งสมาธิไปมากเข้าๆ ก็พบเข้าจนได้ว่า พระคุณของคุณพ่อคุณแม่ มากน้อยกว่ากัน ไม่ใช่อยู่ที่ตรงอุ้มท้อง แต่จะไปหนักแน่อยู่ตรงที่ใครทุ่มเทอบรมบ่มนิสัยให้ลูกเป็นคนดีมีศีลมีธรรม ให้รู้บุญรู้บาป ให้ช่องทางสร้างบุญกำจัดบาป ได้มากกว่ากันเพียงไหน ตรงนั้นเป็นตัวตัดสิน เป็นพระคุณที่ยอดเยี่ยมของท่าน ใครที่ทุ่มเทตรงนี้มากก็มีพระคุณมาก
 
        แต่ในวันที่มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจว่า ระหว่างพระคุณของพ่อแม่กับพระคุณของครูบาอาจารย์ อย่างไหนจะมากกว่ากัน วันนั้นก็ต้องยอมรับว่าตอบตัวเองไม่ชัด ก็ต้องมานั่งสมาธิอยู่อีกหลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ความคิดก็ผุดขึ้นมาจนได้ ผุดขึ้นมาทีแรก พระคุณของพ่อแม่ อย่างไรก็เป็นผู้ให้กำเนิด และได้ปลูกฝังศีลธรรมให้แก่เรามาเยอะ ถึงอย่างไรพระคุณต้องมากว่าครูบาอาจารย์ นี้ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
 
        เมื่อนั่งไปนั่งไปตามประสา ตอนนั้นก็เพิ่งบวชได้ไม่กี่พรรษา มืดบ้างสว่างบ้าง ความคิดก็ผุดขึ้นมาว่า โดยทั่วไปคุณพ่อคุณแม่ก็น่าจะมีพระคุณมากว่าครูบาอาจารย์ แต่ถ้าครูบาอาจารย์ประเภทที่ปิดนรกเปิดสวรรค์ให้เราได้ พระคุณไหนจะมากกว่ากัน พอมาถึงตรงนี้ ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน หลวงพ่อคิดว่า “ถ้าครูบาอาจารย์ท่านนั้นสามารถสอนให้เราปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ ในขณะที่โยมพ่อโยมแม่ของเราก็ยังไม่สามารถสอนให้เราปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ เอ...พระคุณของท่านต้องเหนือกว่าโยมพ่อโยมแม่”
 
        พอนั่งต่อไปก็แวบมาถึงคุณยาย คราวนี้หลวงพ่อหมดความสงสัย หมดความคลางแคลง... “เราบวชแล้วยังไม่มีปัญญาไปเทศน์ให้โยมพ่อโยมแม่ปิดนรกเปิดสวรรค์ให้ตัวของท่านเองได้ แต่คุณยายสอนให้เราปิดนรกเปิดสวรรค์ แล้วอาศัยความรู้ของคุณยายไปถ่ายทอดให้โยมพ่อโยมแม่อีกทีหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น...พระคุณของครูบาอาจารย์อย่างคุณยายก็ไม่ธรรมดาแล้ว เพราะไม่ใช่แต่ตัวเราที่เป็นหนี้พระคุณของคุณยายอาจารย์ แม้แต่โยมพ่อโยมแม่ หมดวงศ์ญาติหมดโคตรของเรา ก็เป็นหนี้พระคุณของคุณยายอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระคุณของครูบาอาจารย์อย่างคุณยายอาจารย์ของพวกเรา ผู้ซึ่งทั้งสร้างวัดให้เราอยู่ ทั้งสอนพวกเรามา ให้ปิดนรกเปิดสวรรค์ ถางทางไปพระนิพพานให้ตัวเองได้ พระคุณของท่านเหลือล้นจะพรรณนา พระคุณของพ่อของแม่ของเรานั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า จารึกข้อความเทิดทูนพระคุณของท่านให้เต็มท้องฟ้า ก็ยังจารึกกันไม่หมด แต่พระคุณของคุณยายอาจารย์ซึ่งช่วยโยมพ่อโยมแม่ ช่วยตัวเราให้พ้นนรก เปิดสวรรค์ให้ ชี้ทางพระนิพพานให้อีกด้วย ทั้งลากทั้งจูงเรามาถึงวันนี้ด้วย พระคุณของท่านจะขนาดไหนกัน หลวงพ่อนึกมาถึงตรงนี้แล้ว ก็ได้แต่คิดว่า ชาตินี้จะตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัวให้สมกับที่คุณยายนำมาบวช ที่คุณยายอมรมให้ ที่คุณยายปั้นแล้วปั้นอีกให้
 
        มาถึงตรงนี้ ก็คงจะต้องฝากพวกเราด้วย ที่นั่งกันอยู่นี่ ปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ก็เพราะบารมีของคุณยายด้วยกันทั้งนั้น นอกจากนั้นแล้วแม้แต่พ่อแม่พี่น้องที่พลอยปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ ก็เพราะบารมีของคุณยายอีกนั่นแหละ แม้ลูกหลานของพวกเรา ที่เห็นหิ้วเห็นจูงกันมาวัดก็ได้อาศัยบุญบารมีของคุณยาย จึงปิดนรกเปิดสวรรค์ได้ ตรงนี้พระคุณอันท่วมท้นของคุณยายอาจารย์ทบทวนกันเยอะๆด้วยนะ เมื่อทบทวนกันเยอะๆแล้ว ออกพรรษานี้ ควรที่จะต้องทำอะไรให้กับคุณยายเป็นพิเศษ ก็ยิ่งต้องทบทวน
 
****************
 
ชม Video เข้าพรรษา ช่วงเวลาแห่งการแก้ไขตัวเอง
 
 


http://goo.gl/31pzL


พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก




   ค้นหา บทความธรรม    

  ฝันในฝันวิทยา
  สารพันธรรมะ
  ปกิณกธรรม
  ผลการปฏิบัติธรรม
  โครงการฟื้นฟูศีลธรรมโลก
  ธรรมะบันเทิง
  ข่าว
  ข่าวประชาสัมพันธ์
  ข่าวบุญฝากประกาศ
  DMC NEWS
  ข่าวรอบโลก
  กิจกรรมเว็บ dmc.tv
  Scoop - Review DMC
  เรื่องเด่นทันเหตุการณ์
  Review รายการ DMC
  หนังสือธรรมะ
  ธรรมะเพื่อประชาชน
  ที่นี่มีคำตอบ
  หลวงพ่อตอบปัญหา
  อยู่ในบุญ
  สุขภาพนักสร้างบารมี
  นิทานชาดก
  CaseStudy กฎแห่งกรรม
  กฎแห่งกรรม
  เรื่องราวชีวิต
  เหลือเชื่อแต่จริง
  อุทาหรณ์สอนใจ
  ฮอตฮิต...ติดดาว
  วิบากกรรม...ทำให้ทุกข์
  บุญเกื้อหนุน
  ปรโลกนิวส์
  ธรรมะและสมาธิ
  พุทธประวัติ
  สมาธิ
  ผลการปฏิบัติธรรมนานาชาติ
  ทศชาติชาดก
  พุทธประวัติและวันสำคัญ
  บทสวดมนต์
  ศัพท์ธรรมะ ภาษาอังกฤษ
  มหาปูชนียาจารย์
  อานุภาพมหาปูชนียาจารย์
  ประวัติ
  กิจกรรม
  ธุดงค์สถาปนาเส้นทางมหาปูชนียาจารย์
  About DMC
  เกี่ยวกับ DMC
  DMC GUIDE
  มือถือ Mobile
  คู่มือเว็บ www.dmc.tv
  มาวัดพระธรรมกาย
   ค้นหา บทความธรรม    

ธรรมะที่เกี่ยวข้อง - Related