อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 13

เมื่อพระราชกุมารตรัสถามนายสารถีว่า “ เธออยากรู้มั้ยว่าทำไมเราต้องแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปี https://dmc.tv/a13367

บทความธรรมะ Dhamma Articles > ช่วงเด่นฝันในฝัน > ปกิณกธรรม > ธรรมะน่ารู้จากคุณครูไม่ใหญ่
[ 16 มี.ค. 2555 ] - [ ผู้อ่าน : 18287 ]
ทบทวนฝันในฝัน วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2555
อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 13


อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 13
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา 
 
พระราชกุมารตรัสถามนายสารถีว่าเธออยากรู้มั้ยว่าทำไมเราต้องแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปี

พระราชกุมารตรัสถามนายสารถีว่าเธออยากรู้มั้ย
ว่าทำไมเราต้องแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปี

      เมื่อพระราชกุมารตรัสถามนายสารถีว่า “ เธออยากรู้มั้ยว่าทำไมเราต้องแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปี  และเมื่อมาถึงวันนี้เราก็กลับมาเป็นคนที่แข็งแรงและพูดได้เหมือนคนปกติเช่นนี้ ” ทันทีที่นายสารถีได้ยินพระราชกุมารตรัสถามอย่างนั้นเขาก็เกิดอาการอยากรู้ขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจจนเขาอดรนทนไม่ได้ที่จะรีบกราบทูลตอบพระราชกุมารไปในทันทีว่า “ ข้าพระองค์รู้สึกสงสัยแล้วก็อยากทราบเป็นอย่างมาก พระเจ้าข้า ”  

พระราชกุมารระลึกชาติหนหลังได้ว่าได้เคยไปเสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่ในอุสสทนรกยาวนานถึง 8 หมื่นปี ซึ่งเป็นผลมาจากวิบากกรรมที่เราได้เคยเป็นพระราชาปกครองเมือง

พระราชกุมารระลึกชาติหนหลังได้ว่าได้เคยไปเสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่ในอุสสทนรกยาวนาน
ถึง 8 หมื่นปี ซึ่งเป็นผลมาจากวิบากกรรมที่เราได้เคยเป็นพระราชาปกครองเมือง

      เมื่อนายสารถีอยากทราบเช่นนั้น พระราชกุมารจึงตรัสเฉลยว่า “ ความจริงแล้ว เราไม่ได้เป็นคนใบ้หรือคนพิการแต่อย่างใด แต่การที่เราแสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมายาวนานถึง 16 ปีนั้น ทั้งนี้ก็เป็นเพราะเราระลึกชาติหนหลังได้ว่า เราได้เคยไปเสวยทุกข์อันแสนสาหัสอยู่ในอุสสทนรกยาวนานถึง 8 หมื่นปี ซึ่งเป็นผลมาจากวิบากกรรมที่เราได้เคยเป็นพระราชาปกครองเมืองนี้มา 20 ปี ซึ่งในระหว่างที่เราเป็นพระราชา เราก็ได้เคยพิพากษาลงอาญานักโทษมาอย่างมากมาย  เมื่อเราได้รู้เช่นนั้น เราจึงกลัวที่จะต้องเสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา ด้วยเหตุนี้เองเราจึงได้แสร้งทำเป็นคนใบ้และคนพิการมาโดยตลอด ” และเมื่อพระองค์ตรัสเล่าจบพระองค์ก็ทรงรับสั่งให้นายสารถีกลับไปแจ้งข่าวเรื่องการออกบวชของพระองค์แด่พระราชบิดาและพระราชมารดาในทันที
 
หลังจากนายสารถีกลับพระราชวังแล้วพระองค์ก็ทรงออกบวชถือเพศเป็นฤาษีอยู่ในอาศรม ที่ท้าวสักกะเทวราชได้บัญชาให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาเนรมิตให้พระองค์ 
 
หลังจากนายสารถีกลับพระราชวังแล้พระองค์ก็ทรงออกบวชถือเพศเป็นฤาษีอยู่ในอาศรม
ที่ท้าวสักกะเทวราชได้บัญชาให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาเนรมิตให้พระองค์

      หลังจากที่นายสารถีกลับไปยังพระราชวังแล้ว พระองค์ก็ทรงออกบวชถือเพศเป็นฤาษีอยู่ในอาศรม ที่ท้าวสักกะเทวราชได้บัญชาให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาเนรมิตให้พระองค์ สำหรับเรื่องราวที่ท้าวสักกะเทวราชได้บัญชาให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาเนรมิตอาศรมให้กับพระโพธิสัตว์นั้น  ลูกๆ บางคนที่เป็นนักเรียนใหม่ก็อาจจะนึกสงสัยและแปลกใจว่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ แต่สำหรับนักเรียนเก่าก็คงจะไม่สงสัยกัน เพราะจริงๆ แล้วเหตุการณ์เช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว อย่างเช่นเรื่องราวของบิดามารดาของสุวรรณสามซึ่งท้าวสักกะเทวราชก็ได้บัญชาให้วิษณุกรรมเทพบุตรมาเนรมิตบรรณศาลาและบริขารสำหรับบรรพชิตให้กับท่านทั้งสอง ในช่วงที่ท่านทั้งสองกำลังจะออกบวชเป็นฤาษีเป็นต้น

พระองค์ได้นั่งสมาธิแค่เพียงวันเดียวแล้วก็สามารถบรรลุอภิญญาสมาบัติ
 
พระองค์ได้นั่งสมาธิแค่เพียงวันเดียวแล้วก็สามารถบรรลุอภิญญาสมาบัติ

      และเมื่อพระราชกุมาร หรือพระเตมีย์โพธิสัตว์ เสด็จออกบวชแล้วในขณะที่พระองค์กำลังเสด็จเดินจงกรมอยู่นั้น พระองค์ก็ทรงเปล่งอุทานออกมาด้วยความสุขใจว่า “ การบวชที่เราได้แล้วนี้เป็นสุขจังหนอ ” หลังจากนั้นพระองค์ก็ได้เสด็จไปประทับนั่งสมาธิในบรรณศาลา ซึ่งพระองค์ก็ทรงมีใจสงบ ใจหยุด ใจนิ่ง   แล้วในที่สุดพระองค์ก็ได้บรรลุอภิญญา 5 และสมาบัติ 8 ในวันนั้นนั่นเอง ซึ่งการที่พระองค์ได้นั่งสมาธิแค่เพียงวันเดียวแล้วก็สามารถบรรลุอภิญญาสมาบัติได้นั้น ก็เป็นอัธยาศัยที่ติดตัวท่านมาหลายภพหลายชาติแล้วคือพระองค์ทรงสั่งสมการทำใจหยุดใจนิ่งมาข้ามภพข้ามชาติ ดังนั้นเมื่อพระองค์ได้ลงมือนั่งสมาธิ ใจของพระองค์จึงสามารถหยุดนิ่งและบรรลุอภิญญาสมาบัติได้อย่างง่ายๆ นั่นเอง

ฝ่ายพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระราชกุมารหลังจากทรงทราบข่าวท่านทั้งสองก็รีบเสด็จไปถึงอาศรมของพระราชกุมาร
 
ฝ่ายพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระราชกุมารหลังจากทรงทราบข่าว
ท่านทั้งสองก็รีบเสด็จไปถึงอาศรมของพระราชกุมาร

      ส่วนฝ่ายพระราชบิดาและพระราชมารดาของพระราชกุมารนั้น หลังจากที่ท่านทั้งสองได้ทรงทราบข่าวจากนายสารถีแล้ว ท่านทั้งสองก็ไม่รอช้าได้รีบเสด็จพระราชดำเนิน ไปหาพระราชกุมารพร้อมด้วยเหล่าเสนาและข้าราชบริพารเป็นจำนวนมาก และเมื่อท่านทั้งสองได้เสด็จพระราชดำเนินไปถึงอาศรมของพระราชกุมารแล้ว  พระราชกุมารก็ทรงทำปฏิสันถารต้อนรับท่านทั้งสองเป็นอย่างดี จากนั้นพระราชาก็ทรงมีพระดำริว่า “ ในวันนี้เราจะอภิเษกลูกของเราให้เป็นพระราชาในที่นี้ แล้วเราจะพาลูกของเรากลับไปขึ้นครองราชย์ที่พระนครของเรา”  
 
พระราชาได้ตรัสกับพระราชกุมาร ว่า “ ลูกรัก ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะได้การรับแต่งตั้งให้เป็นพระราชาต่อจากพ่อ 
 
พระราชาได้ตรัสกับพระราชกุมาร ว่า ลูกรักถึงเวลาแล้วที่ลูกจะได้การรับแต่งตั้งให้เป็นพระราชา
ต่อจากพ่อ พ่อจะมอบสมบัติทุกอย่างให้แก่ลูก

      เมื่อพระราชาทรงมีพระดำริเช่นนั้นพระองค์จึงได้ตรัสกับพระราชกุมาร ว่า “ ลูกรัก ถึงเวลาแล้วที่ลูกจะได้การรับแต่งตั้งให้เป็นพระราชาต่อจากพ่อ พ่อจะมอบสมบัติทุกอย่างให้แก่ลูก  ไม่ว่าจะเป็นกองพลช้าง กองพลม้า กองพลรถ  กองพลราบ  นางสนมกำนัลที่งดงาม ตลอดจนพระราชนิเวศน์ที่รื่นรมย์ อีกทั้งพ่อจะนำเจ้าหญิงโฉมงามจากเมืองอื่นมาให้แก่ลูก ลูกจงมีโอรสให้เยอะๆ ก่อน แล้วลูกค่อยออกบวชในภายหลังก็ได้ ตอนนี้ลูกยังอยู่ในวัยดรุณหนุ่มแน่น ผมก็ยังดำขลับ  ลูกจงรีบเสวยสุขในราชสมบัติก่อนเถิด ลูกจะอยู่ในป่าแห่งนี้ไปทำไมกันเล่า ”     

พระองค์ทรงแสดงธรรมถวายแด่พระราชบิดาพระราชมารดาและมหาชนทั้งหลาย
 
พระองค์ทรงแสดงธรรมถวายแด่พระราชบิดาพระราชมารดาและมหาชนทั้งหลาย

      เมื่อพระราชกุมาร ทรงได้ยินพระราชบิดาตรัสอย่างนั้น พระองค์ก็ทรงรับฟังอย่างนิ่งๆ แล้วพระองค์ก็ทรงแสดงธรรมถวายแด่พระราชบิดาพระราชมารดาและมหาชนทั้งหลายที่มาประชุมรวมกันอยู่ที่ป่าแห่งนั้น
 
คนเราไม่ควรประมาทในชีวิตด้วยความคิดว่าเรายังเป็นหนุ่มอยู่ หรือเรายังอ่อนวัยอยู่เพราะความเป็นจริงแล้วอายุของคนเรานั้นสั้นนัก    
 
คนเราไม่ควรประมาทในชีวิตด้วยความคิดว่าเรายังเป็นหนุ่มอยู่
หรือเรายังอ่อนวัยอยู่เพราะความเป็นจริงแล้วอายุของคนเรานั้นสั้นนัก   

      ซึ่งโอวาทของพระราชกุมารนั้น ก็มีใจความสำคัญย่อๆ ดังต่อไปนี้คือ “คนหนุ่มควรประพฤติพรหมจรรย์  ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ควรเป็นคนหนุ่มและการบวชควรเป็นของคนหนุ่มที่อาตมาภาพกล่าวเช่นนี้ก็เพราะอาตมภาพเห็นเด็กผู้ชายผู้เป็นที่รักยังไม่ทันแก่ก็ตายเสียแล้ว  และเห็นเด็กผู้หญิงอ่อนเยาว์ที่มีหน้าตาสวยสดงดงามน่าดูน่าชมก็ยังต้องถึงแก่ความตาย ซึ่งจะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นชายหนุ่มหรือหญิงสาวก็สามารถตายได้ทั้งนั้น เปรียบเหมือนดั่งหน่อไผ่ที่ยังอ่อนอยู่แต่ก็ถูกเด็ดถอนไปฉะนั้น ดังนั้นคนเราไม่ควรประมาทในชีวิตด้วยความคิดว่า “ เรายังเป็นหนุ่มอยู่ หรือเรายังอ่อนวัยอยู่ ”  เพราะความเป็นจริงแล้วอายุของคนเรานั้นสั้นนัก   
 
ปกติของแม่น้ำย่อมไม่ไหลจากที่ต่ำขึ้นไปสู่ที่สูงฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมที่จะไม่หวนกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กฉันนั้น 
 
ปกติของแม่น้ำย่อมไม่ไหลจากที่ต่ำขึ้นไปสู่ที่สูงฉันใด
อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมที่จะไม่หวนกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กฉันนั้น

      เปรียบประดุจดั่งเส้นด้ายที่ช่างหูกกำลังทออย่างต่อเนื่อง เมื่อช่างหูกทอไปได้มากเท่าไร  เส้นด้ายส่วนที่เหลือก็น้อยลงไปเรื่อยๆ เท่านั้น ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อวันคืนล่วงเลยผ่านไปชีวิตของเราก็เหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ ฉันนั้น ปกติของแม่น้ำย่อมไม่ไหลจากที่ต่ำขึ้นไปสู่ที่สูงฉันใด อายุของมนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมที่จะไม่หวนกลับคืนไปสู่ความเป็นเด็กฉันนั้น แม่น้ำที่เต็มฝั่งย่อมพัดพาเอาต้นไม้ที่เกิดอยู่ริมฝั่งให้หักโค่นไปฉันใด  สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ย่อมถูกชราและมรณะพัดพาไปฉันนั้น ดังนั้นคนเราควรรีบที่จะทำความเพียรกันตั้งแต่วันนี้เพราะเราไม่รู้ว่าความตายจะมาเยือนเราเมื่อไหร่ และเราก็ไม่มีโอกาสที่จะต่อรองกับมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่นั้นได้เลย
 
ภายหลังจากที่พระราชบิดากับพระราชมารดาและมหาชนทั้งหลายได้รับฟังโอวาทของพระราชกุมารแล้วทั้งหมดต่างก็ตัดสินใจออกบวชตามพระราชกุมารในทันที 
 
ภายหลังจากที่พระราชบิดากับพระราชมารดาและมหาชนทั้งหลายได้รับฟังโอวาทของพระราชกุมารแล้ว
ทั้งหมดต่างก็ตัดสินใจออกบวชตามพระราชกุมารในทันที

       ซึ่งครูไม่ใหญ่ก็ขอสรุปโอวาทของพระราชกุมาร เป็นสำนวนที่เข้าใจกันง่ายๆ ว่า “ชายแมนๆ ทั้งหลายควรรีบบวชตั้งแต่ยังหนุ่ม   อย่ามัวประมาทชะล่าใจว่าเรายังหนุ่มยังแน่นอยู่เพราะเวลาในโลกนี้เหลือน้อยลงไปทุกที   อีกทั้งความแก่และความตายก็คอยจ้องจะเล่นงานเราอยู่ตลอดเวลา” ภายหลังจากที่พระราชบิดากับพระราชมารดาของพระราชกุมาร และมหาชนทั้งหลายที่มาประชุมรวมกันอยู่ที่ป่าแห่งนั้นได้รับฟังโอวาทของพระราชกุมารแล้ว มหาชนทั้งหมดก็เกิดความเลื่อมใสศรัทธาในโอวาทของพระราชกุมารอย่างแรงกล้า   แล้วทั้งหมดต่างก็ตัดสินใจออกบวชตามพระราชกุมารในทันที

ชาวเมืองทั้งหลายต่างก็พากันละทิ้งบ้านเรือนและกิจการของตัวเอง แล้วก็พากันออกบวชตามพระราชกุมาร ในที่สุด
 
ชาวเมืองทั้งหลายต่างก็พากันละทิ้งบ้านเรือนและกิจการของตัวเอง
แล้วก็พากันออกบวชตามพระราชกุมารในที่สุด

      ส่วนฝ่ายชาวเมืองทั้งหลายเมื่อได้ทราบข่าวการออกบวชครั้งยิ่งใหญ่แล้ว แต่ละคนต่างก็เกิดแรงบันดาลใจอยากจะบวชขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ชาวเมืองทั้งหลายต่างก็พากันละทิ้งบ้านเรือนและกิจการของตัวเอง แล้วก็พากันออกบวชตามพระราชกุมารในที่สุด เรียกได้ว่าในยุคสมัยนั้น  มหาชนทั้งหลายได้พากันออกบวชแบบยกเมืองกันเลยทีเดียว ส่วนว่ารายละเอียดของเรื่องพระเตมีย์โพธิสัตว์ซึ่งมีอยู่อีกเยอะแยะมากมายจะเป็นอย่างไรนั้น   เราก็คงจะมาว่ากันอีกทีในเรื่องทศชาติชาดก

เราควรที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลังเพื่อตัวเราเอง  โดยเฉพาะใครที่ได้เกิดเป็นชายแมนๆ ก็ควรที่จะรีบมาบวช
 
เราควรที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลังเพื่อตัวเราเอง 
โดยเฉพาะใครที่ได้เกิดเป็นชายแมนๆ ก็ควรที่จะรีบมาบวช

      จากเรื่องราวของพระเตมีย์โพธิสัตว์ที่เราได้เรียนรู้กันมานี้ ก็สอนให้เราได้รู้ว่าเราไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต  เพราะชีวิตที่ผ่านๆ มา  ด้วยความที่เราไม่มีความรู้เรื่องกฎแห่งกรรม  จึงทำให้เราต้องพลาดพลั้งไปทำผิดทำพลาดเอาไว้อย่างเล็กน้อย ปานกลางถึงมากมาย อีกทั้งชีวิตของเราก็สั้นแค่นิดเดียว และความตายก็ไม่มีนิมิตหมาย เดี๋ยวก็วันเดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวเราก็ต้องพลัดพรากจากกันไปแล้ว  ดังนั้น เราควรที่จะสั่งสมบุญสร้างบารมีให้เต็มที่เต็มกำลังเพื่อตัวเราเอง  โดยเฉพาะใครที่ได้เกิดเป็นชายแมนๆ ก็ควรที่จะรีบมาบวช ส่วนคนที่ยังบวชไม่ได้หรือยังไม่พร้อมที่จะบวช ก็ให้ไปตามคนมาบวชกันให้มากๆ  เพราะการบวชเป็นการสั่งสมบุญใหญ่ให้กับตัวเราเองและบุคคลที่เรารัก

เราควรที่จะสอนและเตือนตัวเองด้วยว่าเราจะไม่คิดกลับไปทำในสิ่งไม่ดีเหล่านั้นอีก จากนั้นก็ให้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเอง ด้วยการฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ เป็นพระแท้
 
เราควรที่จะสอนและเตือน ตัวเองด้วยว่าเราจะไม่คิดกลับไปทำในสิ่งไม่ดีเหล่านั้นอีก
จากนั้นก็ให้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเอง ด้วยการฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ เป็นพระแท้

      และเมื่อลูกๆ ได้มาบวชแล้วก็ควรที่จะให้อภัยตนเองและลืมเรื่องราวที่ไม่ดีที่เราเคยทำผิดทำพลาดเอาไว้ไปให้หมด อีกทั้งเราควรที่จะสอนและเตือนตัวเองด้วยว่าเราจะไม่คิดกลับไปทำในสิ่งไม่ดีเหล่านั้นอีก จากนั้นก็ให้ตั้งใจฝึกฝนอบรมตนเอง ด้วยการฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ เป็นพระแท้ ซึ่งการฝึกฝนอบรมตนเองเช่นนี้ถือเป็นการฝึกใจเพื่อสวนกระแสกิเลสที่ไหลเชี่ยวกรากอยู่ตลอดเวลาซึ่งก็อาจจะทำให้เราไม่ได้รับความสะดวกสบายหรืออาจจะได้รับความยากลำบากบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าที่เราจะต้องไปรับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสในนรกอย่างยาวนาน ด้วยวิบากกรรมที่เราได้เคยทำผิดทำพลาดไปแม้จะไม่รู้ก็ตาม ซึ่งจะเป็นผลทำให้เราต้องพลัดพรากจากหมู่คณะและเสียโอกาสสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ไปอีกยาวนานมากๆ ซึ่งถ้าหากลูกๆ ตั้งใจสั่งสมบุญสร้างบารมีกันอย่างเต็มที่เต็มกำลังเช่นนี้ก็จะทำให้ชีวิตการสร้างบารมีของเรามีแต่ความราบรื่น  รุ่งเรือง  และมีปีติหล่อเลี้ยงใจไปตราบวันสุดท้ายของชีวิตของเรา และผังชีวิตอันดีงามนี้ก็จะติดตามตัวเราไปทุกภพทุกชาติตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรม
      ส่วนว่าอานิสงส์การถือธุดงควัตร ภาคพิเศษ ข้อต่อไปจะมีรายละเอียดเป็นเช่นไรเราก็คงจะต้องมาติดตามกันต่อในตอนต่อไป  

อานิสงส์การถือธุดงควัตร (ภาคพิเศษ) ตอนที่ 1, ตอนที่ 2, ตอนที่ 3, ตอนที่ 4, ตอนที่ 5, ตอนที่ 6, ตอนที่ 7, ตอนที่ 8, ตอนที่ 9, ตอนที่ 10, ตอนที่ 11, ตอนที่ 12

http://goo.gl/veOZV


พิมพ์บทความนี้

ไปหน้าทบทวนฝันในฝัน



บทความอื่นๆ ในหมวด

      กิจกรรมพัฒนาวัดพิชิตปิตยาราม ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี
      กิจกรรมพัฒนาวัดอู่ข้าว ต.คลอง 7 จ.ปทุมธานี
      อานุภาพบุญจากการมาสวดธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ตอนที่ 1
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ได้ตึก 18 ล้านแค่เพียงกระพริบตา
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน ความทรงอภิญญาของคุณยายฯที่ผมเจอกับตัวเอง
      ประกาศผลสุดยอดสามเณรแสดงธรรมระดับโลก
      เปิดใจสามเณรแชมป์แสดงธรรมระดับภาค ชิงชัยสู่เวทีแสดงธรรมระดับโลก
      ซุปเปอร์บิ๊กบุญ ตักบาตรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
      เส้นทางสามเณร สู่เวทีแชมป์เทศน์ระดับโลก
      เล่าเรื่องคุณยาย ตอน เรื่องเหลือเชื่อของการบูชาข้าวพระที่คุณยายฯฝากไว้
      บวชเณรล้านตักบาตรแสน สานฝันคุณยาย สร้างพระแท้
      เล่าเรื่องคุณยายฯ ตอน แค่มองหน้า..ก็รู้ทั้งหมด
      แฝด 4 บวชเณรล้านอ่างทองทำลายสถิติโลก