เมื่อก่อน “โทรทัศน์” ถูกเปรียบเป็นตู้จอสามัญประจำบ้าน เรียกว่าไม่มีบ้านไหนที่ไม่มีทีวีอยู่ในบ้าน ต่อให้อยู่ในที่ห่างไกลชนบทขนาดไหน หรือสุดแสนจะยากจนเพียงใด ทีวีก็เป็นสิ่งจำเป็นลำดับต้นๆ ที่รองจากเรื่องปากท้องไปซะแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเศรษฐีทั้งหลายที่วิ่งไล่ตามเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปสารพัด ไม่ว่าจะจอแบน หรือไฮเทคขนาดไหน ก็ขอมีไว้ในบ้านเพื่อประดับบารมีคู่กาย บางบ้านถึงขนาดนับจำนวนทีวีแทนจำนวนห้องอีกต่างหาก
แต่เดี๋ยวนี้ดูเหมือนเจ้าคอมพิวเตอร์ก็ไม่น้อยหน้าซะแล้ว!
เรียกว่าแทบทุกบ้านต้องมีคอมพิวเตอร์ บางบ้านอาจจะยังไม่มี ก็อาศัยใช้ของที่ทำงานไปก่อน รอให้มีเงินเดือนพอได้ที่ ก็เริ่มคำนึงถึงเจ้าคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งของจำเป็นคู่บ้าน
ในสังคมชนบทก็เริ่มถูกเจ้าคอมพิวเตอร์รุกเข้าไปในหลายพื้นที่ เอาเป็นว่าเด็กในยุคนี้ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนไหนต่างก็รู้จักเจ้าคอมพิวเตอร์กันหมดแล้ว ที่ยังไม่มีเป็นของตัวเอง ก็สามารถหยิบจับใช้ในพื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งที่มีการจัดสรรเอาไว้ให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสสัมผัสเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์กันบ้าง
นึกถึงน้องคนหนึ่งที่เคยมาช่วยงานบ้านดิฉัน เธอเป็นชาวลำปาง อยู่ในพื้นที่ชนบท เธอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯด้วยหมายมั่นจะส่งเงินไปช่วยที่บ้านได้บ้าง เธออยู่กับดิฉันหลายปี ดิฉันชอบคุยกับน้องคนนี้ เพราะเด็กคนนี้ประหนึ่งเป็นผลผลิตของเด็กชนบทที่เติบโตขึ้นมาในสังคมระบบทุนนิยม และมีความมุ่งมั่นจะเข้ากรุงเทพฯ
แรกๆ น้องคนนี้ก็ส่งเงินให้ที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ หรือไม่ก็ซื้อสิ่งของกลับบ้าน
แต่ต่อมา น้องคนนี้ “เสพติด” โทรศัพท์มือถือเต็มตัว
ที่ต้องใช้คำว่าเสพติด ก็เพราะว่าเธอขาดมันไม่ได้ ในแต่ละวันจะโทรศัพท์พูดคุยตลอดทั้งวัน เธอฝากคุณแม่ดิฉันซื้อบัตรเติมเงินให้เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท น่าตกใจมากๆ เพราะว่าด้วยเงินเดือนสำหรับการทำงานบ้านก็ไม่ได้มากมายอะไร
การใช้ชีวิตของเธอในการจัดลำดับความสำคัญค่อนข้างน่าตกใจ!!
เธอหาซื้อทีวีรุ่นใหม่ส่งไปให้ที่บ้าน ซื้อคอมพิวเตอร์ให้ที่บ้าน ดิฉันเองก็งงๆ อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่อยากก้าวก่ายชีวิตของเธอ ได้แต่เตือนภาษาน้องนุ่งว่าไม่ควรใช้โทรศัพท์มือถือมากมายขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นการพูดคุยเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีสาระ
ส่วนเจ้าคอมพิวเตอร์ เธอให้เหตุผลว่าที่บ้านเธอก็มีพี่ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ น้องก็อยากเล่นเกม แล้วถ้าน้องเล่นเกมก็จะได้อยู่บ้าน ซึ่งจะทำให้น้องได้อยู่เป็นเพื่อนแม่ด้วย
แม้จะค่อนข้างขัดหูขัดตาขัดใจ แต่ก็ไม่อาจไปก้าวก่ายได้ เพียงแต่เตือนว่าต้องพยายามจัดลำดับความสำคัญในชีวิตให้ดี
ทุกวันนี้เธอไม่ได้อยู่กับดิฉันแล้ว แต่ก็โทรศัพท์คุยกัน ปรากฏว่าเธอก็กลับไปอยู่บ้าน ทำงานแถวบ้าน ตอนนี้บ้านเธอก็มีในสิ่งที่เธอต้องการเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งน่าจะมีความสุขดี
แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น!
เพราะน้องของเธอติดเกม!
เพื่อนน้องก็ติดเกม!!
เด็กแถวบ้านก็ติดเกม!!!
เจ้าคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเครื่องเดียว กลายเป็นปัญหาปวดหัวสำหรับเธอและครอบครัวไปอีกเสียแล้ว เพราะไม่ใช่อาการติดธรรมดา แต่ติดเข้าขั้นเลยทีเดียว ประเภทไม่ยอมทำอะไร จะเล่นแต่เกม
ปัจจุบัน ปัญหาเด็กติดเกมคอมพิวเตอร์ เป็นเรื่องที่สร้างความหนักใจให้คนเป็นพ่อแม่เป็นอย่างมาก
ตัวอย่างที่ยกขึ้นมาเป็นเพียงตัวอย่างเดียว แต่เป็นสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นจำนวนมากกับเด็ก ๆ ในบ้านเรา ในความเป็นจริงเรื่องเด็กติดเกมไม่ใช่ปัญหาเฉพาะบ้านเราหรอกค่ะ แต่ปัญหานี้ลุกลามไปทั่วโลก เพราะส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาทของพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดเด็ก ที่ขาดความรู้ความเข้าใจในการมีเจ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ไว้ในบ้าน
ในต่างประเทศถึงขนาดต้องหันไปพึ่งพา “คลินิกบำบัดอาการติดเกม” เพื่อให้ลูกหลุดพ้นการเสพติดเกมคอมพิวเตอร์อย่างถาวร
ล่าสุด มีคลินิกบำบัดอาการติดเกมคอมพิวเตอร์แห่งใหม่เปิดกิจการขึ้น ในกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ คลินิกแห่งนี้เป็นของเอกชนที่รับบำบัดทั้งผู้ติดเกมคอมพิวเตอร์ ติดสุรา หรือยาเสพติดประเภทอื่นๆ รวมถึงโรคบูลิเมีย โดยผู้ที่เข้ารับการบำบัดจะต้องทำกิจกรรมบำบัดประจำวัน ตามที่คลินิกจัดโปรแกรมไว้ เช่น การออกกำลังกาย และการเข้ากลุ่มบำบัด รวมถึงการพูดคุยแลกเปลี่ยนปัญหาของตัวเองกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลและนักจิตวิทยา
คีธ บาคเกอร์ ชาวอเมริกันผู้ก่อตั้งคลินิกดังกล่าว เปิดเผยว่า แม้จะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงในการเข้ารับการบำบัด แต่หลังจากที่เราเปิดศูนย์บำบัดมาเพียง 18 เดือน มีผู้มาเข้ารับการบำบัดแล้วเป็นจำนวนมาก ผู้เข้ารับการบำบัดอายุน้อยที่สุด วัยเพียง 6 ขวบเท่านั้น
“คนที่ติดเกมส่วนใหญ่ไม่มีความสามารถในการควบคุมตัวเองได้ดีเพียงพอ ส่วนเด็กๆ นั้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการไม่มีความสุขที่โรงเรียน ไม่มีความสุขกับตัวเอง และสภาพชีวิตที่เป็นอยู่ ทำให้พวกเขาหันไปใช้เวลาส่วนใหญ่ในโลกของเกมคอมพิวเตอร์ที่พวกเขาควบคุมได้ทุกอย่าง และทำอะไรก็ได้อย่างที่ต้องการ”
สิ่งที่ยากที่สุดในการบำบัดก็คือ หลังจากเข้ารับการบำบัดแล้ว ผู้ที่เคยติดเกมเหล่านี้ยังต้องเกี่ยวข้องกับการใช้คอมพิวเตอร์ในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ ดังนั้นหากพวกเขาไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ หรือไม่สามารถควบคุมความต้องการของตัวเองได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะกลับไปติดเกมคอมพิวเตอร์อีก
การสอนให้เด็กใช้คอมพิวเตอร์ “เป็น” จึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน
เด็กจำนวนมากใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการใช้คอมพิวเตอร์ ด้วยการเล่นเกมทั้งออนไลน์และไม่ออนไลน์ หรือก็สนทนา (Chat) หรือการเสพข้อมูลข่าวสารที่ไร้สาระไม่เป็นแก่นสาร จนเหมือนกับว่าเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของเล่นชิ้นใหม่
พ่อแม่บางคนที่ไม่รู้เท่าทันก็คิดว่าดี ลูกอยู่นิ่งดูเหมือนมีสมาธิจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ทำ หรือไม่ก็เข้าใจว่าลูกขยันหาข้อมูล อีกทั้งยังทำให้ลูกอยู่ติดบ้านซะด้วย
หารู้ไม่ว่าภาพที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบนจอคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วกว่า
ภาพเคลื่อนไหวของโทรทัศน์นั้น กำลังจะทำให้เด็กคนหนึ่งกลายเป็นคนเจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียว รอคอยอะไรไม่ได้ อ่อนแอทางร่างกายและสังคม ไร้งานอดิเรกที่เป็นประโยชน์ด้านอื่นๆ และที่สำคัญคือมีความผิดปกติทางสายตา
ปัญหาของเด็กยุคนี้ที่เกิดจากคอมพิวเตอร์มีมากมาย แต่ดูเหมือนพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดเด็กยังละเลย และไม่ได้ตระหนักต่อปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริง
ทางที่ดีพ่อแม่ควรกำหนดเวลาการใช้งานที่ต้องทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กำหนดข้อตกลงระหว่างกันให้เหมาะสม รวมถึงการกำหนดเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย
คอนเซ็ปต์ “กันไว้ดีกว่าแก้” ยังต้องนำมาใช้
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราก็คงได้เห็น “คลินิกบำบัดเด็กติดเกม” แห่งใหม่ เปิดในบ้านเราอย่างแน่นอน
ปัญหาของเด็กยุคนี้ที่เกิดจากคอมพิวเตอร์มีมากมาย แต่ดูเหมือนพ่อแม่หรือผู้ใกล้ชิดเด็กยังละเลย และไม่ได้ตระหนักต่อปัญหาเหล่านี้อย่างแท้จริง
ทางที่ดีพ่อแม่ควรกำหนดเวลาการใช้งานที่ต้องทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กำหนดข้อตกลงระหว่างกันให้เหมาะสม รวมถึงการกำหนดเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ด้วย
คอนเซ็ปต์ “กันไว้ดีกว่าแก้” ยังต้องนำมาใช้
เพราะไม่เช่นนั้นแล้วเราก็คงได้เห็น “คลินิกบำบัดเด็กติดเกม” แห่งใหม่ เปิดในบ้านเราอย่างแน่นอน
ที่มา-
