บรรพชนคนอีสานและสองฝั่งโขงถึงดินแดนลาวมีหลายชาติพันธุ์ และมีชื่อเรียกตัวเองต่างกันไป เช่น ลาว,เขมร,จาม,ส่วย ฯลฯ

ส่วนพวกที่พูดภาษาลาว มีชื่อเรียกจากชาวสยามยุคกรุงศรีอยุธยาว่า"ไทยน้อย" เป็นพวกหนึ่งที่เคลื่อนย้ายไปตั้งหลักแหล่งทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา เป็นเครือญาติพี่น้องกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น มอญ,เขมร,มลายู,จีน ฯลฯ แล้วเรียกตัวเองว่า"คนไทย"



ชุมชนต้นตระกูลไทย-ลาว

1. 5,000 ปีมาแล้ว บรรพชนคนอีสานมีหลักแหล่งถาวรเป็นชุมชนหมู่บ้านกระจายทั่วไปทั้งตอนบนและตอนล่าง(ของเทือกเขาภูพาน) เช่น บริเวณอำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น บริเวณอำเภอโนนสูง,อำเภอสูงเนิน,และอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ฯลฯ คนพวกนี้รู้จักปลูกข้าว โดยเฉพาะข้าวเหนียว เลี้ยงสัตว์ เช่น หมู,วัว ฯลฯ ทำภาชนะดินเผา หล่อโลหะสัมฤทธิ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ มีประเพณีฝังศพ ฯลฯ

2. 4,000 ปีมาแล้ว ชุมชนหมู่บ้านกระจายอยู่ทางต้นน้ำมูล-ชี บริเวณอีสานใต้ แอ่งโคราช เช่น บ้านโนนวัด อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา และบริเวณอีสานเหนือ แอ่งสกลนคร เช่น บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ฯลฯ

พบหลักฐานการทำเกษตรกสิกรรม ปลูกและกินข้าวเหนียว ทำภาชนะดินเผา ทอผ้า ต้มเกลือและรู้จักเทคโนโลยี ถลุงโลหะ เช่น สัมฤทธิ์ เหล็ก ฯลฯ หนาแน่นทางทุ่งกุลาร้องไห้ มีระบบความเชื่อคือศาสนาผี นับถือสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เช่น งู กบ หมา ฯลฯ มีพิธีทำศพ ใช้แคนเป่าเป็นเสียงสื่อสารกับอำนาจเหนือธรรมชาติ ยกย่องผู้หญิงเป็นหัวหน้าพิธีกรรมทางศาสนา เช่น หมอผี คนทรง ฯลฯ และเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ มีแบบแผนการปกครองเป็นระเบียบแล้ว

3. 3,000 ปีมาแล้ว มี"คนภายนอก"เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งหลักแหล่งแห่งหนจนเป็นบรรพชนคนอีสาน มาจากทุกทิศทางทั้งใกล้-ไกล และทั้งทางบก-ทางทะเล "คนภายนอก"บางกลุ่ม หรือหลายกลุ่ม ย่อมเคลื่อนย้ายไปๆ มาๆ ผ่านพื้นที่สองฝั่งแม่น้ำโขง ที่สำคัญคือมาจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แถบกวางตุ้ง-กวางสี,เวียดนาม,ยูนนาน ฯลฯ และมาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทางอ่าวไทยและอ่าวเบงกอล ฯลฯ



บ้านเมืองแรกสุด

4. หลัง พ.ศ.1 หรือมากกว่า 2,500 ปีมาแล้ว แรกมีชุมชนบ้านเมืองเป็นส่วนหนึ่งของสุวรรณภูมิ ตั้งแต่สมัยแรกมีชื่อสุวรรณภูมิในคัมภีร์ของอินเดีย-ลังกา โดยเฉพาะผืนแผ่นดินใหญ่ที่มีแม่น้ำโขงเป็นแกน

ชุมชนบ้านเมืองในอีสานยุคนี้เลือกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นศูนย์กลางทำพิธีกรรม เช่น ถ้ำเพิงผา ลานกว้าง ฯลฯ มีหินตั้งปักล้อมรอบเขตศักดิ์สิทธิ์ บางแห่งสลักและเขียนสัญลักษณ์เป็นรูปต่างๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ พืชพันธุ์ ฯลฯ เช่น ผาแต้ม อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

5. หลัง พ.ศ.500 ศาสนาพุทธ-พราหมณ์จากอินเดียเข้ามาเผยแผ่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เริ่มแพร่กระจายเข้าไปในดินแดนภายในสุวรรณภูมิบริเวณสองฝั่งโขงและอีสาน ผ่านลุ่มน้ำป่าสัก (ลพบุรี-เพชรบูรณ์) และช่องเขาเพชรบูรณ์ บริเวณต้นน้ำมูล-ชี แล้วกระจายถึงสองฝั่งโขง เหนือสุดถึงเวียงจันและหนองคาย-นครพนม ตะวันออกสุดถึงปลายน้ำมูล-ชี ทางยโสธร-อุบลราชธานี แล้วเริ่มมีชุมชนเมืองขนาดใหญ่ขึ้น

คนพื้นเมืองบริเวณสองฝั่งโขงและอีสาน มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว้างขวาทางถลุงโลหะ โดยเฉพาะเหล็ก และรู้จักขุดคูน้ำล้อมรอบชุมชนแล้ว แต่แต่งกายเปลือยเปล่า มีเพียงเครื่องปิดหุ้มอวัยวะเพศ ประดับประดาร่างกายด้วยใบไม้และขนนก

คนพวกนี้นับถือศาสนาผีอยู่ก่อนแล้ว จึงไม่ยอมรับนับถือศาสนาพุทธ-พราหมณ์ที่เข้ามาใหม่ เลยถูกเรียกจากชาวชมพูทวีป (อินเดีย-ลังกา) ว่า "นาค" แล้วเริ่มมีในนิทานว่าต้องปะทะขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มคนเผยแผ่ศาสนาจากชมพูทวีปกับคนพื้นเมือง เรียก "ปราบนาค"



รัฐเจนละ แรกสุดในอีสาน

6. หลัง พ.ศ.1000 แรกมีรัฐเจนละ บริเวณสองฝั่งโขง-ชี-มูล แล้วเติบโตขึ้นจนแผ่ปกลงไปถึงดินแดนกัมพูชาทางทะเลสาบเขมร มีศาสนาพราหมณ์อยู่ในหมู่ ชนชั้นสูง ส่วนศาสนาพุทธอยู่ในหมู่สามัญชน

บริเวณที่เป็นถิ่นกำเนิดของเจนละคือปลายลุ่มแม่น้ำมูล-ชี ในเขตจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดยโสธร และจังหวัดอุบลราชธานี จัดอยู่ในแอ่งโคราชที่มีชุมชนหมู่บ้านเก่าแก่ไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว มีประชากรหลากหลายเผ่าพันธุ์ คนพวกนี้มีชุมชนหมู่บ้านหนาแน่นอยู่รอบๆทุ่งกุลาร้องไห้ ซึ่งเป็นเขตที่มีทรัพยากรธรรมชาติ เช่น เหล็ก และเกลือ อุ่นหนาฝาคั่ง

วัฒนธรรมทวารวดี จากที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลางเข้าอีสาน ทำให้ดินแดนอีสานเจริญก้าวหน้าขึ้นเป็นบ้านเมืองอย่างเต็มที่เมื่อประมาณหลัง พ.ศ. 1100 เพราะได้รับอารยธรรมจากอินเดียที่แพร่ผ่านบ้านเมืองที่อยู่ใกล้ทะเลเข้ามา 2 ทาง คือ (1) จากบ้านเมืองทางทิศตะวันออก(เวียดนาม) และบริเวณปากแม่น้ำโขงทางทิศใต้(กัมพูชา) และ (2) จากบ้านเมืองบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

พระพุทธศาสนาได้แพร่กระจายไปบริเวณอุดรธานีและหนองหานหลวงที่สกลนครก่อน หลังจากนั้นกลุ่มชนในเขตหนองหานหลวงขยับขยายเข้าไปในเขตอำเภอธาตุพนม (จังหวัดนครพนม) แล้วผสมผสานกับกลุ่มชนต่างเผ่าพันธุ์ที่เคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นๆ เช่น ทางเหนือและทางตะวันออกของแม่น้ำโขง ต่อมาได้สร้างพระธาตุพนมขึ้นเป็นศูนย์กลางของระบบความเชื่อ

บ้านเมืองในอีสานไม่ใช่อาณาจักรเดียวกัน แต่แยกกันเป็นแคว้นอิสระหรือรัฐเอกเทศที่มีความสัมพันธ์กันฉันเครือญาติพี่น้องผู้ใหญ่ผู้น้อยอย่างใกล้ชิด และยังไม่พบหลักฐานว่าแคว้นนั้นๆมีชื่ออะไรบ้าง แต่สามารถจำแนกเป็นกลุ่มๆ ดังต่อไปนี้ :

1.กลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง-ชี-มูล หรือเจนละ บริเวณจังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร มุกดาหาร นครพนม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ ที่แม่น้ำชี-มูลไหลมารวมกันแล้วลงสู่แม่น้ำโขงที่อุบลราชธานี นับถือพราหมณ์-พุทธ

2.กลุ่มกลางลุ่มแม่น้ำมูล หรือพนมวัน-พิมาย-พนมรุ้ง บริเวณที่ราบลุ่มบางส่วนของจังหวัดบุรีรัมย์และนครราชสีมา นับถือพุทธมหายาน

3.กลุ่มต้นลุ่มน้ำมูล หรือศรีจนาศะ บริเวณจังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่อำเภอเมือง อำเภอปักธงชัยและอำเภอสูงเนิน ไปจดเทือกเขาดงรักและดงพญาเย็นทางตะวันตก นับถือพุทธ-พราหมณ์

4.กลุ่มลุ่มน้ำชี บริเวณจังหวัดชัยภูมิ ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ เป็นบ้านเมืองที่นับถือพระพุทธศาสนาต่อเนื่องเรื่อยมาสร้างเสมาหิน พระนอน สถูปเจดีย์ ในศิลปะสถาปัตยกรรมแบบทวารวดีอย่างแพร่หลาย

5.กลุ่มสองฝั่งโขงเวียงจัน บริเวณอีสานเหนือ เขตเวียงจัน หนองคาย สกลนคร เป็นบ้านเมืองที่นับถือพุทธศาสนาต่อเนื่องมา มีชื่อในตำนานว่าศรีโคตรบูร มีศูนย์กลางอยู่เวียงจัน ต่อไปข้างหน้าจะเรียกกลุ่มสยาม



"ขอม"เข้าอีสาน

7. หลัง พ.ศ.1500 วัฒนธรรมขอม (เขมร) จากทะเลสาบกัมพูชาแผ่เข้าสู่อีสาน ขณะเดียวกันการค้าโลกกว้างขวางขึ้น ส่งผลให้บริเวณสองฝั่งโขงที่มีทรัพยากร มั่งคั่งมีบ้านเมืองเติบโตแพร่กระจายเต็มไปหมด

ต้นวงศ์กษัตริย์กัมพูชาอยู่ลุ่มน้ำมูล เพราะบริเวณต้นน้ำมูลตั้งแต่เขตปราสาทพนมวัน ปราสาทหินพิมาย ปราสาทเขาพนมรุ้ง เป็นถิ่นเดิมหรือถิ่นบรรพบุรุษเกี่ยวดองเป็น"เครือญาติ"ของกษัตริย์กัมพูชาที่สถาปนาอาณาจักรกัมพูชาขึ้นบริเวณทะเลสาบ ทำให้กษัตริย์อาณาจักรกัมพูชาก่อสร้างปราสาทหินสำคัญไว้ในอีสาน เช่น ปราสาทเขาพระวิหารในกัมพูชา หันหน้าทางอีสานและมีทางบันไดขึ้นลงที่ยื่นยาวเข้ามาทางจังหวัดศรีสะเกษ

รูปสลักขบวนแห่ทหารในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์บนระเบียงประวัติศาสตร์ที่ปราสาทนครวัด แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ฉัน"เครือญาติ"ระหว่างกษัตริย์เขมรเมืองพระนคร กับบ้านเมืองแว่นแคว้นต่างๆ ที่อยู่โดยรอบและที่อยู่ห่างไกลออกไป และยังบอกให้รู้ถึง"เครือข่าย"ทางการค้าภายในบนเส้นทางคมนาคม-การค้าครั้งนั้น เช่น เสียมกุก หรือชาวสยามที่หมายถึงคนพื้นเมืองหลายชาติพันธุ์บริเวณสองฝั่งโขงที่มีเวียงจันเป็นศูนย์กลางของชาวสยาม
ที่สื่อสารด้วยภาษาลาว-ไทย

8. หลัง พ.ศ.1700 บริเวณสองฝั่งโขงและอีสานอยู่ในอิทธิพลทางการเมืองและวัฒนธรรมของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มหาราชของอาณาจักรกัมพูชาที่เรืองอำนาจขึ้นสูงสุด เมื่อราวหลัง พ.ศ. 1700 มีรายชื่อเมืองต่างๆราว 20-30 เมือง (ในจารึกปราสาทพระชรรค์) อยู่รายทางตั้งแต่ทะเลสาบถึงสองฝั่งโขงในอีสานและลาว

พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีบรรพชนต้นตระกูลในราชวงศ์มหิธรปุระอยู่บริเวณต้น-กลางลุ่มน้ำมูลทางเมืองพิมาย-พนมรุ้ง แล้วรับศาสนาพุทธมหายานจากเมืองพิมายไปประดิษฐานและเผยแพร่ในราชอาณาจักรกัมพูชาที่เมืองพระนครหลวง (นครธม) ศาสนสถานที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างไว้ตามบ้านเมืองต่างๆ มีรูปแบบอย่างเดียวกันเรียก"อโรคยศาล" และ"ธรรมศาลา" ที่ต่อมาคนอีสานเรียกกู่ฤๅษี



ชาวสยาม และบรรพชน "คนไทย"

9. หลัง พ.ศ.1800 อาณาจักรกัมพูชาที่รุ่งเรืองในแผ่นดินพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 7 ร่วงโรยแล้วอ่อนแอลง ทำให้บ้านเมืองต่างๆ บริเวณสองฝั่งโขงในอีสานและลาวแยกออกเป็นรัฐเอกเทศ โดยเฉพาะกลุ่มสยามที่มีศูนย์กลางอยู่เมืองเวียงจัน-หนองคาย แต่บางแห่งรกร้างไป เช่น เขตลุ่มน้ำชี-มูลทางอุบลราชธานีและเขตต่อเนื่อง

บริเวณลุ่มน้ำชีตอนกลางของอีสาน กับตอนปลายลุ่มน้ำมูลทางอุบลราชธานี ร่วงโรยแล้วรกร้างไปตั้งแต่หลัง พ.ศ.1800 เพราะกลุ่มชนดั้งเดิมเคลื่อนย้ายไปตั้งหลักแหล่งใหม่ที่อุดมสมบูรณ์กว่า เช่น ไปเป็นประชากรของลุ่มน้ำยม-น่านที่ต่อไปเป็นรัฐสุโขทัย กับไปตั้งหลักแหล่งเป็นประชากรของรัฐละโว้-อโยธยาทางลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วเป็น"คนไทย"

แต่มีบางพวกลงไปเป็นประชากรทางปากแม่น้ำโขง ในกัมพูชาและเวียดนาม ฯลฯ หรือเข้าไปอยู่ใกล้ฝั่งทะเลทางเวียดนามภาคกลาง เป็นต้น จนถึงหลัง พ.ศ.1900 ก็รกร้างไปเป็นป่าดงพงพี จะมีก็แต่กลุ่มชนร่อนเร่ผ่านไปมา เช่น พวกข่า ฯลฯ ช่วงเวลานี้มีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรขึ้นแล้วทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาภาคกลาง

10. หลัง พ.ศ.2000 พวกลาวจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง เคลื่อนย้ายหนีความขัดแย้งทางการเมืองมาตั้งหลักแหล่งในอีสาน แล้วก่อบ้านสร้างเมืองขึ้นใหม่ทับซ้อนลงบริเวณบ้านเมืองเก่าที่รกร้างไปแล้ว ขณะเดียวกันทางรัฐลาวแยกเป็น 3 เขต คือ (1) หลวงพระบางเป็นลาวเหนือ (2) เวียงจันเป็นลาวกลาง (3) จำปาสักเป็นลาวใต้

อำนาจของเวียงจันขยายเข้ามาถึงบริเวณลุ่มน้ำชี แต่ทางลุ่มน้ำมูลอยู่ในอำนาจทางการเมืองของรัฐละโว้-อโยธยา มีเมืองนครราชสีมาเป็นศูนย์กลางที่ไม่อยู่ในวัฒนธรรมลาว แต่อยู่ในวัฒนธรรมลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น กินข้าวเจ้า นุ่งโจงกระเบน เล่นเพลงโคราช ฯลฯ

11. หลัง พ.ศ.2300 พระเจ้ากรุงธนบุรี แผ่อำนาจถึงอีสานและเวียงจันรวมสองฝั่งโขง ครั้นสถาปนากรุงเทพฯแล้วราชวงศ์จักรีให้ความสำคัญอีสานและบ้านเมืองสองฝั่งโขง ได้จัดตั้งบ้านเมืองขึ้นใหม่หลายแห่ง แล้วกวาดต้อนผู้คนทั้งลาวและอื่นๆ ลงไปเป็นประชากรกรุงเทพฯ

12. หลัง พ.ศ.2400 ฝรั่งเศสยึดฝั่งขวาแม่น้ำโขงไว้ทั้งหมด แล้วกำหนดเส้นกั้นอาณาเขตมีแม่น้ำโขงเป็นแดนโดยตลอด อีสานถูกผนวกเป็นราชอาณาจักรสยาม แต่คนอีสานเรียกตัวเองว่า"ลาว" ขณะเดียวกันคนกรุงเทพฯก็เรียกคนพื้นเมืองอีสานส่วนมากว่า"ลาว" บางกลุ่มถูกเรียกส่วย แล้วเรียกบริเวณนี้ว่าลาวด้วย เช่น ลาวพวน ต่อมาถูกกำหนดให้เป็นไทยเมื่อเปลี่ยนชื่อประเทศสยามเป็นประเทศไทย เมื่อ 24 มิถุนายน 2482
 
 
 
 
 
ที่มา-
แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง