ห่างไปทางตอนใต้ของ Bhubaneswar 8 กิโลเมตรเป็นที่ตั้งตระหง่านของภูเขาหัวโล้นลูกหนึ่งที่สามารถมองจากยอดเขาลงไปเห็นสนามรบโบราณแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสนามรบที่พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ปกครองภาคตะวันออกของอินเดียเมื่อ 3 ศตวรรษก่อนคริสต์ศักราชเป็นผู้นำทัพออกทำสงครามนองเลือดเมื่อครั้งกะโน้น และถือเป็นสงครามอันสยดสยองครั้งสุดท้ายที่ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชเห็นแล้วนำไปสู่การตัดสินพระทัยน้อมรับเอาพระพุทธศาสนาไว้เป็นที่พึ่งในกาลต่อมา เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้รับการรำลึกถึงด้วยการสร้างพระเจดีย์สมัยใหม่ขึ้นองค์หนึ่งที่มีชื่อว่า Dhauli ไว้บนยอดเขาแห่งนี้

ภูเขา Dhauli ลูกนี้มีภูมิประเทศแวดล้อมไปด้วยทุ่งนาข้าวสีเขียวขจีที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตาไปจรดเส้นขอบฟ้า  มีแม่น้ำคยา (Daya) ที่ไหลวกวนไปมา แต่ละโค้งแทบจะจรดตีนเขาของภูเขาแต่ละลูก มีถนนดินสีดำแคบๆ สายหนึ่งตัดข้ามแม่น้ำสายนี้มุ่งสู่ยอดเขา

ส่วนหนึ่งของภูเขาหินลูกนี้ได้ถูกถากและขัดมันกินพื้นที่ 15 ฟุต x 10 ฟุตเป็นที่ซึ่งมีคำจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชที่สลักลงบนเสาหินขนาดใหญ่หลายต้น ในที่แห่งนี้ยังมีช้างขนาดใหญ่มาก มีลักษณะตามแบบช้างท้องถิ่นที่แกะสลักออกมาจากก้อนหินทั้งก้อนปรากฎอยู่หนึ่งเชือก

พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์แห่งราชวงศ์มยุราพระองค์นี้ เป็นที่รู้จักกันดีว่า เป็นกษัตริย์ที่แสวงหาพระราชอำนาจอย่างไม่รู้จักพอ ครั้งหนึ่งพระองค์ได้หมายตาราชอาณาจักรกาลิงคะ ซึ่งเป็นดินแดนของพวก ไพกัส (Paikas) ที่ขึ้นชื่อว่า มีกองทหารราบที่เก่งกล้ามาก  กองทัพของกาลิงคะได้มีอำนาจเหนือดินแดนแถบนี้มาเป็นเวลายาวนานถึง 2,000 ปีนับตั้งแต่ครั้งที่อาณาจักรนี้ได้แผ่ขยายมาจากตอนเหนือของแม่น้ำคงคาลงสู่แม่น้ำกาวีระ (Kaveri) ทางตอนใต้...

ในการทำสงครามกับเมืองกาลิงคะในครั้งนั้น ทหารเกือบ 1 แสนเสียชีวิตในสนามรบ อีก 1.5 แสนถูกจับเป็นเชลย ที่เหลือนอกจากนั้นที่ไม่ยอมก้มหัวให้กับกองทัพพระเจ้าอโศกมหาราชได้ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม กล่าวกันว่า ผลจากการกระทำอันอำมหิตในกาลนั้นทำให้น้ำในแม่น้ำคยากลายเป็นสีแดงอันเนื่องด้วยโลหิตของผู้เสียชีวิต

เมื่อสิ้นสุดวันอันเหี้ยมโหด จอมราชันต์อโศกทรงรู้สึกสังเวชพระทัยเป็นอันมากที่ ผลลัพธ์จากการขัดขืนของฝ่ายตรงข้ามนำมาซึ่งการนองเลือดอย่างใหญ่หลวงและเสียงคร่ำครวญระงมของผู้ที่รอดชีวิตมาได้ ความพิศวงได้สั่นคลอนจิตใต้สำนึกของพระองค์ว่า ไม่ได้มีความปรีดาในการเป็นผู้ครอบครองเลย ในชั่วขณะนั้น ได้มีเสียงสวดมนต์อันแผ่วเบาแว่วมาตามสายลม เสียงนั้นทำให้จิตใจของพระเจ้าอโศกมหาราชรู้สึกสงบขึ้นเป็นอย่างมาก พระองค์เสด็จตามทิศทางของเสียงนั้นขึ้นไปบนภูเขาที่ซึ่งพระภิกษุในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง ณ ที่นั้น ได้ทำให้พระองค์ได้ทรงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา  พระเจ้าอโศกมหาราชทรงน้อมรับปรัชญาคำสอนทางพระพุทธศาสนาเอาไว้ และทรงตัดสินพระทัย ณ ที่นั้นว่า พระองค์จะทรงชดเชยกับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปแล้ว ข้อมูลเหล่านี้ได้ถูกจารึกเอาไว้ในคำประกาศิตของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งตรงตามข้อมูลที่มีบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาเช่นกัน หลังจากนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชก็เป็นที่รู้จักในพระนามว่า “ธรรมาโศก”

บนยอดเขา Dhauli มีอาคารหลังหนึ่งยอดเป็นโดมขนาดใหญ่มีชื่อเรียกว่า เจดีย์สาจิ (Shanti Stupa) หรือ เจดีย์ธรรมวิจัย (Dharma Vijay Stupa) ซึ่งสร้างขึ้นโดยชาวพุทธญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษที่ 1970 พระเจดีย์องค์นี้และองค์ประกอบของภูมิทัศน์โดยรอบสามารถสื่อให้เห็นถึงมุมมองของพระพุทธศาสนาว่า เป็นศาสนาแห่งสันติภาพและปราศจากความรุนแรง นอกจากนี้ยังมีคำแสดงธรรมของ Nichidatru Fuji Guruji ที่ได้อุทิศเอาไว้ในสถานที่แห่งนี้เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึง ธรรมราชาอโศก ผนังทั้ง 4 ด้านขององค์เจดีย์มีรูปพระพุทธเจ้าขนาดใหญ่ปรากฎอยู่ ด้านทิศตะวันออกเป็นภาพพระพุทธเจ้าในท่านั่งสมาธิ ด้านทิศใต้เป็นภาพทรงแสดงพระธรรมเทศนา ด้านทิศตะวันตกเป็นภาพเสด็จดับขันธปรินิพพานที่สลักขึ้นตามแบบศิลปะคุพตะ (Gupta)

ส่วนยอดของพระเจดีย์ประดับด้วยฉัตรทรงกลม 5 ชั้นกางกั้นพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่เป็นพระทนต์ กล่าวกันว่า พระบรมสารีริกธาตุได้ถูกแบ่งออกเป็น 5 ส่วน แต่ละส่วนได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐานยังที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยในแต่ละที่นั้นได้มีการก่อสร้างศาสนสถานขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ได้อัญเชิญไป

ส่วนโดมขององค์เจดีย์ซึ่งก็รวมเรียกว่า เป็น “เจดีย์แห่งสันติภาพ” ด้วยนั้นปรากฎอยู่ท่ามกลางทัศนียภาพที่งดงามตามธรรมชาติ จากจุดที่ตั้งแห่งนี้ สามารถมองเห็นพระอาทิตย์ทั้งตอนขึ้นและตอนตก

มีวัดโบราณวัดหนึ่งซึ่งเป็นวัดของพระศิวะ และอีกวัดหนึ่งชื่อ วัด Lord Bahirangaeswara Shiva ก็เป็นวัดของพระศิวะเช่นกัน ตั้งอยู่ที่เชิงเขาแห่งนี้ นอกจากนี้ยังมีถ้ำ 5 แห่งตั้งเรียงกัน เรียกว่า ‘Panch Pandavs’

ทัศนียภาพโดยรอบขององค์เจดีย์งดงามมากและให้ความรู้สึกที่สุขสงบมากแก่ผู้ที่ไปเยี่ยมชม สมกับที่สถานที่แห่งนี้ได้ถูกตั้งชื่อว่า เจดีย์แห่งสันติภาพ เสียจริงๆ

 

 

ที่มา-http://www.kalingatimes.com/explore_orissa/news_20081221_Peace_Pagoda_at_Dhauli.htm

 

แสดงความคิดเห็นเป็นคนแรก
Login เพื่อแสดงความคิดเห็น

บทความที่เกี่ยวข้อง